การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นโดยมีศูนย์วิจัยและจัดการความรู้ เพื่อการควบคุมการบริโภคยาสูบ (ศจย.) มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีหน่วยงานและประชาชนที่ให้ความสนใจเข้าร่วมประชุมไม่ต่ำกว่าพันคน การจัดงานในครั้งนี้มีทั้งการเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ และการพัฒนาของเครือข่ายที่รวมกันควบคุมและลดการบริโภคยาสูบ โดยมีผลงานวิจัยที่นำเสนอให้ผู้ที่เข้าร่วมประชุมได้รับฟังถึง 28 หัวข้อ
ประเด็นสำคัญในการประชุมวิชาการก็คือ เรื่อง ควันบุหรี่มือสอง(Second-hand smoke) ซึ่ง หมายถึง การได้รับควันบุหรี่ ทั้งจากการสูบบุหรี่เองและบุหรี่ที่คนอื่นสูบหรือจุดบุหรี่ทิ้งไว้ โดยผลวิจัยล่าสุดทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศได้พิสูจน์ให้เห็นถึงอันตรายจากการได้รับควันบุหรี่มือสองอย่างชัดเจน รวมทั้งสามารถระบุกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่ออันตราย และความเคลื่อนไหวของนานาประเทศในการออกมาตรการเพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนจากควันบุหรี่มือสอง ซึ่งถือเป็นมลพิษทางอากาศประเภทหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หัวข้อในการประชุมที่น่าสนใจมีดังนี้
งานวิจัยของ ศ.ดร.แอนโธนีย์ เฮดเลย์ (Professor Anthony Hedley) จากหน่วยวิจัยและนโยบายการควบคุมยาสูบ มหาวิทยาลัยฮ่องกง กล่าวว่า จากการวิจัยเรื่องของผลกระทบจากควันบุหรี่มือสองต่อสุขภาพและเศรษฐกิจในระดับชาติ พบว่าในแต่ละปีควันบุหรี่มือสองได้คร่าชีวิตชาวฮ่องกงประมาณ 1,324 คน โดยผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดมี 3 ด้าน หนึ่ง ทำลายสุขภาพของมารดาและทารกในครรภ์ สอง ก่ออันตรายต่อคนทำงานในร้านอาหาร ธุรกิจบริการ และสถานบันเทิง สาม ทุกคนที่ได้รับควันบุหรี่มือสองเสี่ยงต่อโรคหัวใจล้มเหลว หลอดเลือดสมองอุดตัน และโรคปอด ด้วยเหตุนี้ การพัฒนานโยบายเพื่อป้องกันอันตรายจากควันบุหรี่มือสองจึงเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก
งานวิจัยของ รศ.ดร.เนาวรัตน์ กล่าวว่าขณะนี้เด็กทั่วโลกรวมทั้งเด็กไทยกำลังประสบปัญหาสุขภาพจากการสัมผัสควันบุหรี่มือสองที่บ้าน
งานวิจัยของ นพ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ระบุว่าอันตรายจากควันบุหรี่มือสอง ก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้หญิง ผลกระทบที่ชัดเจนมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการ ได้แก่ มะเร็งปอด โดยผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่ แต่สามีสูบจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดสูงขึ้นร้อยละ 25 หลอดเลือดหัวใจอุดตันโดยผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่ แต่สามีสูบจะมีความเสี่ยงต่อโรคนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ1.22-1.51 และหากได้รับจากที่ทำงานจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1.11 - 1.32 และหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับควันบุหรี่มือสองมีความเสี่ยงต่อการคลอดบุตรน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 20-40
นอกจากนี้ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเสริมว่า จากผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดยสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แสดงให้เห็นว่าประชาชนตื่นตัวต่อผลกระทบจากควันบุหรี่มือสอง จำนวนถึงร้อยละ 80 ของผู้ให้ความเห็นตอบว่าเห็นด้วยต่อการขยายเขตปลอดบุหรี่ออกไปให้มีความครอบคลุมกว้างขวางมากขึ้น ดังนั้นทางกรมควบคุมโรคจึงออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับใหม่เพื่อขยายเขตปลอดบุหรี่เพิ่มเติม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และมีแผนที่จะขยายเพิ่มเติมสู่พื้นที่สาธารณะที่ประชาชนให้ความเห็นว่า ควรประกาศเป็นเขตปลอดบุหรี่ภายใน 1-2 ปี ได้แก่บริเวณที่นั่งคอยรถเมล์ สวนสาธารณะ ทัณฑสถาน รวมถึง ผับ บาร์ ด้วย.
|