ในระหว่างวันที่ 2-4 พฤษภาคม 2550 กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามและมหาวิทยาลัยมหิดล และสมาคมวิชาชีพสุขศึกษา ได้จัดประชุมวิชาการสุขศึกษาแห่งชาติ ประจำปี 2550 เรื่อง “ความสุขของคนไทยบนฐานเศรษฐกิจพอเพียง” ณ โรงแรมปรินซ์ พาเลซ กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพประชาชน ลดปัญหาการเจ็บป่วยด้วยโรคจากพฤติกรรมสุขภาพ โดยมีบุคลากรด้านสุขศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านสุขภาพจากภาครัฐ ภาคเอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าร่วมประชุมประมาณ 700 คน และมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานต่างๆ ร่วมบรรยายและเสวนาในหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ ความสุขของคนไทยบนฐานเศรษฐกิจพอเพียง ยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพกับเศรษฐกิจพอเพียง ดัชนีชี้วัดความสุขและสุขภาพ รวมทั้งมีการนำเสนอผลงาน และผลการวิจัยรวม 80 หัวข้อ

              วันแรกของการจัดงานนายแพทย์มรกต กรเกษม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานและมอบโล่แก่นักสุขศึกษาดีเด่น ปี 2550 โดยประเภทวิชาชีพสุขศึกษา ได้แก่ นางพิสมัย จารุชวลิต โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก ประเภทบุคคลทั่วไป ได้แก่ นางสาวสุคนธ์ แดงโชติ โรงเรียนบ้านจะเฆ่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ประเภทสถาบัน ได้แก่ โรงพยาบาลพิจิตร จ.พิจิตร โรงพยาบาลป่าซาง จ.ลำพูน และโรงเรียนมัธยมบ้านแก้งวิทยา อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ นอกจากนี้ ยังมอบใบประกาศเกียรติคุณแก่นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้สนับสนุนการดำเนินงานมาตรฐานสุขศึกษา จำนวน 22 คน และมอบใบรับรองมาตรฐานงานสุขศึกษา แก่สถานบริการสาธารณสุข ที่พัฒนาคุณภาพงานสุขศึกษาได้ตามมาตรฐาน จำนวน 268 แห่ง

              นายแพทย์มรกต กรเกษมได้ให้ข้อคิดถึงพฤติกรรมสุขภาพของคนไทยไว้ว่าปัจจัยที่สำคัญในการบ่งชี้สุขภาพคือ อัตราทารกตาย ประเทศใดที่มีอัตราการตายของทารกมากถือว่าประชากรของประเทศนั้นมีสุขภาพไม่ดี นอกจากนี้ยังมีโรคที่เป็นตัวบ่งชี้ ได้แก่ โรคเบาหวาน และความดันโลหิต

              สำหรับประเทศที่มีอัตราทารกตายต่ำที่สุดคือ ประเทศญี่ปุ่น มีอัตราการตาย 3 คนต่อการเกิดมีชีพ 1 พันคน ประเทศเยอรมันกับอิตาลีมีอัตราทารกตาย 7 คนต่อการเกิดมีชีพ 1 พันคน สำหรับประเทศไทยมีอัตราทารกตาย 23 คนต่อการเกิดมีชีพ 1 พันคน สำหรับประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างเช่น มาเลเซียมีอัตราทารกตายเท่ากับประเทศฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี คือ อัตราทารกตาย 7 คนต่อการเกิดมีชีพ 1 พันคน แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ เขาทำอย่างไรจึงมีอัตราการตายน้อยกว่าเรา

              ส่วนโรคที่สำคัญๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ในประเทศไทยมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้ประมาณ 10 ล้านคน และมีผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานประมาณ 3 ล้านคน แต่ยังมีประชากรอีกประมาณ 10 ล้านคนที่มีน้ำตาลในเลือดสูงแต่ไม่แสดงอาการ รวมมีผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการและไม่มีอาการประมาณ 13 ล้านคน ซึ่งโรคเหล่านี้เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องทั้งสิ้น

              ดังนั้นในการที่เราจะลดอัตราทารกตาย หรืออัตราการเกิดโรคต่างๆ ก็มีหลายวิธีหลายแนวทาง แต่วิธีการที่ดีที่สุด คือ การให้ความรู้แก่ประชาชน และการดำเนินงานเพื่อให้ได้ผลดีต้องดำเนินงานทุกฝ่ายทั้งชุมชน สถานศึกษา และสื่อมวลชน เพราะเป็นผู้ชี้นำทางสังคม และสร้างกระแสสังคม

              จากนั้นเป็นปาถกฐาพิเศษเรื่อง “ความสุขของคนไทยบนรากฐานเศรษฐกิจพอเพียง” โดยคุณโสภณ สุภาพงษ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และการบรรยายพิเศษเรื่อง “การสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ: หัวใจของงานสาธารณสุข” โดยนายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวง-
สาธารณสุข

              คุณโสภณ สุภาพงษ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้กล่าวถึงความสุขของคนไทยบนรากฐานเศรษฐกิจพอเพียงไว้ว่า ความสุขไม่ใช่เรื่องที่สามารถหาซื้อได้ ความสุข คือ การทำลงไปเป็นขั้นๆ เป็นกระบวนการ แล้วในที่สุดเราจะพบว่า ไม่มีความสุขใดที่จะมีความสุขที่แท้จริงได้ถ้าขาดคุณธรรม เพราะคุณธรรมนำไปสู่ความสุข ๆ นำไปสู่ความพอเพียง ๆ ทำให้เกิดสุขภาวะ

              สำหรับนายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงการสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ: หัวใจของงานสาธารณสุขไว้ว่า ไม่ควรจำกัดการให้ความรู้ทางด้านสุขศึกษาแก่ประชาชนทั่วไปเท่านั้น นักสุขศึกษายุคใหม่ต้องทำงานในเชิงบูรณการมากขึ้น ต้องขยายความรู้ไปสู่ภาคธุรกิจ สื่อมวลชนให้มากขึ้น ทั้งนี้เพราะทั้งสองแหล่งมีอิทธิพลต่อผู้บริโภคในปัจจุบันอย่างมาก เป็นแหล่งที่มีเงินลงทุนมาก มีความรู้มากและมีเทคนิคมากกว่า ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบแตกต่างจากรัฐที่ถึงแม้จะมีความรู้มากแต่มีเงินทุนน้อยจึงดำเนินการได้ไม่มาก สำหรับกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการส่งเสริมสุขภาพก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ในการให้สนับสนุนต่อไป

              สำหรับวันที่สองของการจัดประชุมมีการเสวนาที่น่าสนใจคือ “ดัชนีชี้วัดความสุขและสุขภาพ” โดยคุณชุตินาถ วงศ์สุบรรณ ผู้อำนวยการสำนักติดตามประเมินผลและเผยแพร่พัฒนา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนพ.พินิจ ฟ้าอำนวยผล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ

              ตัวชี้วัดความสุขและสุขภาพที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำขึ้นภายใต้กรอบแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง มีลักษณะที่โดดเด่นในด้านการประเมินผลนโยบายการพัฒนาประเทศตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ในขณะที่ลักษณะเด่นตัวชี้วัดความสุขและสุขภาพที่ นพ.พินิจ ฟ้าอำนวยผล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพจัดทำขึ้นนั้น เป็นตัวชี้วัดที่ใช้เพื่อกระตุ้นการพัฒนาให้เกิดการปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่างๆ เช่น ระดับครอบครัวเป็นการวัด Self-assessment (ครอบครัวได้ประเมินตนเอง เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้) ในระดับชุมชนอาจมีคู่มือ เน้นการเรียนรู้ มีกระบวนการส่งเสริมในชุมชน ซึ่งมีหลายหน่วยงานที่ทำงานด้านชุมชน ก็อาจจะนำคู่มือนี้ไปใช้ได้ ในระดับจังหวัด/ประเทศ อาจจะใช้การประเมินโดยมีเกณฑ์ที่ประเมินผลกระบวนการว่า บรรลุผลหรือไม่ เช่น Review การสัมภาษณ์ หรืออาจจะให้ภาคีของจังหวัดประเมินเอง ที่สำคัญก็คือ ให้จังหวัดเป็นผู้ประเมินเอง แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดการพัฒนาดัชนีชี้วัดทั้ง 2 แนวคิดนี้ยังไม่ได้นำไปใช้ เพราะอยู่ในระหว่างการพัฒนา