การเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจถดถอยของประเทศสหรัฐอเมริกา และซ้ำเติมอีกระลอกด้วยภัยธรรมชาติอย่างภาวะน้ำท่วมและความแห้งแล้ง หลายพื้นที่ต้องประสบปัญหาส่งผลให้ราคาพืชผลการเกษตรสูงขึ้น รวมถึงการที่ข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ที่ขยับราคาสูงขึ้น วิกฤติทางการเมืองที่ยังไม่แน่นอน ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เดือดร้อนกันถ้วนหน้า ประกอบกับอารมณ์ที่อาจจะขึ้นๆลงๆ หากมีเหตุการณ์ที่ไม่ได้ดั่งใจก็จะมีผลต่อความคิดที่บางคนอาจจะคิดบวก บางคนอาจจะคิดลบ คิดเหมือน คิดต่าง สภาพจิตใจถูกรุมเร้าด้วยสารพัดปัญหาทั้งในระดับตัวบุคคล ระดับครอบครัว ในที่ทำงาน และสังคมทั่วไปในวงกว้าง ดังนั้น จึงคาดว่าวิกฤตต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2552 จะส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมาก และครอบคลุมคนทุกกลุ่มในสังคมมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งเห็นได้จากจำนวนผู้ป่วยนอก (OPD) ที่มารับบริการของสถานบริการในสังกัดกรมสุขภาพจิต ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2540 - 2551 (คลิกดูรายะเอียดที่นี่) มีแนวโน้มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2544 - 2551
ที่มา : รายงานและสถิติจำนวนผู้ป่วยนอกที่มารับบริการของสถานบริการในสังกัดกรมสุขภาพจิต ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2540 - 2551 กรมสุขภาพจิต
สถานการณ์สุขภาพจิตของประชาชนในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจช่วงเดือน สิงหาคม 2550 - กุมภาพันธ์ 2551
กรมสุขภาพจิต ได้ดำเนินการสำรวจสุขภาพจิตของประชาชนในภาวะวิกฤตทางโทรศัพท์เพื่อให้ทราบสถานการณ์ของปัญหาสุขภาพจิตและหาแนวทางการช่วยเหลือ ตลอดจนเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพจิตประชาชน โดยสำรวจทางโทรศัพท์ 4 ครั้ง ห่างกันทุกๆ 3 เดือน ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน สิงหาคม 2550 พฤศจิกายน 2550 กุมภาพันธ์ 2551 และพฤษภาคม 2551 โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,400 คน ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในจังหวัดที่มีหน่วยงานกรมสุขภาพจิตตั้งอยู่ ซึ่งผลการสำรวจเป็นดังนี้ |
- จากการสำรวจทั้ง 3 ครั้ง พบว่า
|
| ครั้งที่ |
ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างมีความเครียด |
| 1 |
46.9 |
| 2 |
50.1 |
| 3 |
47.4 | |
- ปัญหาที่ทำให้เครียดมากที่สุด คือ ปัญหาการงาน (ร้อยละ 47.3) รองลงมาคือ ปัญหาการเงิน (ร้อยละ 65.2) โดยที่เพศหญิง มีความเครียดสูงกว่าเพศชาย (ร้อยละ 51.9)
- จากการสำรวจครั้งที่ 1-2 กลุ่มตัวอย่างช่วงอายุ 41-50 ปี มีความเครียดคิดเป็นร้อยละมากกว่ากลุ่มอื่น การสำรวจกลุ่มตัวอย่างครั้งที่ 3 พบว่า กลุ่มอายุ 21-30 ปีจะมีความเครียดคิดเป็น ร้อยละมากกว่ากลุ่มอื่น
- ความรู้สึกกับปัญหาที่เกิดขึ้นของกลุ่มตัวอย่างที่พบมากที่สุด คือ รู้สึกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นหนักหนา และมองว่าปัญหาสามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง คิดเป็นร้อยละ92.7, 91.8 และ 91.7 ตามลำดับ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถแก้ไขได้ ร้อยละ 48.7, 50.1 และ 50.7 ตามลำดับ
- ในกลุ่มของผู้ที่มีความคิดทำร้ายตนเอง พบว่า อัตราความคิดที่จะทำร้ายตนเองเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย จากการสำรวจครั้งที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่มีภูมิลำเนาใน กทม.มีความคิดทำร้ายตนเองมากกว่าเขตอื่นๆ ร้อยละ 8.5 ส่วนครั้งที่ 2-3 เขตภาคเหนือมีความคิดทำร้ายตนเองมากกว่าเขตอื่นๆร้อยละ 15.2 และ 6.2 ตามลำดับ และสถานภาพทางการเงินของครอบครัว ที่ไม่ค่อยพอใช้ หรือต้องพึ่งพาผู้อื่นจะมีความคิดทำร้ายตนเองสูงกว่ากลุ่มอื่น (คลิกดูรายละเอียดที่นี่) |
แนวทางการสร้างพลังสุขภาพจิตเพื่อรับมือภาวะวิกฤต
ในกลุ่มประชาชนที่กำลังเผชิญกับวิกฤตต่างๆ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจในระดับ "มีปัญหาหาแต่ยังพอทรงตัวอยู่ได้" เช่น ผู้ที่ตกงานและอยู่ในภาวะเครียดหรือกดดัน รวมทั้งผู้ที่ต้องการจะพัฒนาตนเองเพื่อให้ผ่านพ้นอุปสรรคได้ ควรใช้แนวทางปฏิบัติตัว "ปรับ 4 เติม 3" |
ปรับ 4 |
| ปรับอารมณ์ |
มีสติ ไม่ท้อแท้ โกรธตัวเองหรือผู้อื่น ไม่ใช้อารมณ์แก้ปัญหา และให้ อภัยกัน |
| ปรับความคิด |
มองด้านดี ใช้เหตุผลข้อเท็จจริงให้มากขึ้น ค้นหาด้านดีของอีกฝ่าย ทำ ให้เกิดความร่วมแรงร่วมใจมากขึ้น |
| ปรับการกระทำ |
เลือกวิธีการสื่อสารที่เหมาะสม เช่น ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ |
| ปรับเป้าหมาย |
รู้จักยืดหยุ่น ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับเป้าหมายเดิม และการดำเนินชีวิต ให้ เหมาะกับสถานการณ์ มองความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ | |
เติม 3 |
| เติมศรัทธา
(I am) | เชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เชื่อว่าชีวิตมี้ ความหวัง มีคุณค่าชีวิตย่อมมีอุปสรรคเป็นธรรมดา |
| เติมมิตร
(I have) | มีคนที่ไว้ใจไว้ขอคำปรึกษา พูดคุยหาทางออก |
| เติมจิตใจให้กว้าง
(I can) | รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ทำให้มีข้อมูลเพิ่ม มองอะไรรอบด้าน้ มากขึ้น เห็นความลำบากและปัญหาของคนอื่น | |
ทั้งนี้เทคนิคเชิงปฏิบัติ ที่คนทั่วไป สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองได้ง่าย ภายใต้ 3 คำ จำง่าย คือ "อึด ฮึด สู้" โดย
อึด หมายถึง ศักยภาพที่ทนต่อแรงกดดันได้ดี
ฮึด หมายถึง มีกำลังใจเข้มแข็ง
สู้ หมายถึง การต่อสู้เอาชนะอุปสรรค
กรมสุขภาพจิตได้จัดทำเครื่องมือเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตคนไทย หรือแบบประเมินอาร์คิว (RQ : Resilience Quotient)(ดาวน์โหลดแบบประเมินคลิกที่นี่)เพื่อเตรียมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตที่เป็นผลพวงจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนไทย ขณะนี้พบว่าแบบทดสอบดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างดี โดยมีผู้สนใจเข้าชมและทดลองใช้แบบประเมินดังกล่าว จำนวน 4,317 ครั้ง จากประชาชนใน 12 จังหวัด มีช่วงอายุระหว่าง 25-60 ปี พบว่าร้อยละ 84 มีพลังสุขภาพจิตปกติ ร้อยละ 6-8 มีพลังจิตสูงกว่าปกติ และร้อยละ 4 มีพลังสุขภาพจิตต่ำกว่าปกติ ขณะเดียวกันพบว่า เพศหญิงมีพลังสุขภาพจิตดีกว่าเพศชาย |
| เรียบเรียงโดย : |
ชัญญาภรณ์ น้ำค้าง สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ |
| แหล่งที่มา : |
 - thaimental.com. เสริมสร้างพลังสุขภาพจิต ก้าวผ่านวิกฤตสู่โอกาส. จำนวน 1 หน้า.
อ้างใน http://www.thaimental.com
 - หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ. ข่าวการศึกษา. สุขภาพจิต...บกพร่อง ภัยคุกคามโลกปีวัวบ้า. จำนวน 1 หน้า. วันที่ 6 มีนาคม 2552 ปีที่ 60 ฉบับที่ 18672 อ้างใน http://www.thairath.co.th
 - กรมสุขภาพจิต. รายงานสรุปผลการสำรวจสุขภาพจิตของประชาชนในภาวะ
วิกฤต เศรษฐกิจช่วงเดือน สิงหาคม 2550 - ก.พ. 2551. 2551: จำนวน 2 หน้า. อ้างใน http://www.forums.dmh.go.th
 - กรมสุขภาพจิต. เชิญชวนคนไทยตรวจเช็คพลังสุขภาพจิต เตรียมพร้อมก้าวผ่านวิกฤต สู่โอกาส. 2551: จำนวน 1 หน้า. อ้างใน http://www.forums.dmh.go.th
 - กรมสุขภาพจิต. รายงานและสถิติ. จำนวน 1 หน้า. อ้างใน http://www.dmh.go.th
 - kapook.com. เคล็ดสู้วิกฤต ท่อง 3 คำให้ขึ้นใจ..อึด ฮึด สู้. จำนวน 1 หน้า อ้างใน http://icare.kapook.com
|
| เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : |
http://www.dmh.go.th กรมสุขภาพจิต |
|
|