การจัดเรตติ้งโทรทัศน์






 

                   ในขณะที่กองงานคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง และกิจการวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (กกช.) กรมประชาสัมพันธ์ได้ร่วมมือกับสถานทีโทรทัศน์ทุกช่อง ทั้งช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 ช่อง 9 ช่อง 11 และช่องทีไอทีวี จัดทำตราสัญลักษณ์เพื่อแสดงระดับความเหมาะสมของสื่อโทรทัศน์กับกลุ่มผู้ชม หรือที่เรียกว่า การจัดเรตติ้ง ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2549 ที่ผ่านมา จึงถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่สถานีโทรทัศน์จะแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม แต่ก็ยังมีข้อกังขาว่าการจัดเรตติ้งโดยผู้ประกอบการนั้นจะเหมาะสมกับกลุ่มอายุของผู้รับชมจริงๆ หรือไม่





        ถึงแม้ว่าการทำตราสัญลักษณ์จะเป็นเครื่องมือ ที่ทำให้ผู้ปกครองคัดเลือกสื่อที่เหมาะสมให้แก่บุตร  แต่ก็ยังไม่สามารถปกป้องเยาวชนมิให้เข้าถึงสื่อที่ไม่เหมาะสมได้ เพราะถึงแม้จะมีคำเตือนแต่ในบางช่วงบางตอนของรายการก็ยังมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม การจำแนกเนื้อหาตามกลุ่มอายุแต่เพียงอย่างเดียวจึงยังไม่เพียงพอ แต่จำเป็นจะต้องมีกลุ่มคนที่เข้าไปตรวจสอบคุณภาพในเนื้อหาของสื่อด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่การจัดสรรช่วงเวลาของการนำเสนอที่เหมาะสมต่อไป



ทำไมต้องมีการจัดเรตติ้ง


                   การจัดเรตติ้งไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด เพราะมีหลายประเทศที่ใช้กันมานานแล้ว ยกตัวอย่างเช่น
ประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา แคนนาดา และออสเตรเลีย เป็นต้น ทั้งนี้เพราะประเทศเหล่านี้ตระหนักดีว่า “สื่อ” โดยเฉพาะโทรทัศน์นั้น เป็นสื่อกลางในการอบรมบ่มนิสัยทางวัฒนธรรม และการเข้าถึงสื่อนั้นก็ทำได้ง่ายไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ อายุ หรือเพศ นอกจากนี้การดูโทรทัศน์ยังสร้างการจดจำ โน้มน้าวใจ และให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินแบบครบทุกรสชาติ จนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต



คนไทยกับรายการโทรทัศน์


                   สำหรับประเทศไทยโทรทัศน์เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด กล่าวคือ กิจกรรมที่คนในครอบครัวทำร่วมกันมากที่สุด ร้อยละ 97.5 คือ การดูโทรทัศน์ โดยประเภทรายการที่คนส่วนใหญ่เลือกดูมากที่สุด ร้อยละ 51.6 คือ รายการบันเทิง เช่น เกมโชว์ ละคร และรายการเพลง เป็นต้น




ที่มา: รายงานผลเบื้องต้นการสำรวจสื่อมวลชน พ.ศ. 2546 (โทรทัศน์) สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร



ความรุนแรงในละครไทย


                 อย่างไรก็ตาม การจัดเรตติ้งคงไม่มีความจำถ้าไม่มีภาพของความรุนแรงซึ่งส่วนใหญ่จะผ่านช่วงของรายการละคร ผลการวิจัยของโครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อ เพื่อสุขภาวะสังคม (Media Monitor) ซึ่งทำการศึกษารายการละครในช่วงเวลา 16.00-22.00 น. ของเดือนสิงหาคม 2548 ทางรายการโทรทัศน์ช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 ช่อง 9 ช่อง 11 และ TITV พบว่า



(1.) จากรายการละครที่ศึกษาทั้งสิ้นรวม 34 เรื่อง 5 ช่องสถานี พบว่า ช่องที่มีรายการละครมากที่สุดคือ ช่อง 3 รองลงมาคือ ช่อง 7
 
สถานีโทรทัศน์ จำนวน
ช่อง 3 13
ช่อง 7 11
ช่อง 9 5
ช่อง 5 3
TITV 2
ช่อง 11 0
(2.) สัดส่วนเวลาการออกอากาศรายการละครต่อสัปดาห์ ในช่วงเวลา 16.00-22.00 พบว่า มากที่สุดคือ ช่อง 7 รองลงมาคือ ช่อง 3
 
สถานีโทรทัศน์ ใช้เวลา คิดเป็นร้อยละ
ช่อง 7 1,480 58.70
ช่อง 3 1,470 58.33
ช่อง 9 360 14.28
ช่อง 5 330 13.09
TITV 270 10.71


                   สำหรับเรื่องความรุนแรงที่แฝงอยู่ในละครนั้นผลการศึกษานี้ได้กล่าวไว้ว่า ละครก่อนข่าวภาคค่ำ (16.00-20.00 น.) ซึ่งเป็นละครที่มีกลุ่มผู้ชมส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชน มีค่าดัชนีการวัดเนื้อหาประเด็นเรื่อง ความรุนแรง ภาพตัวแทน เพศ มากกว่าละครหลังข่าว ดังนั้นหากย้ายรายการละครที่มีความรุนแรงไปช่วงเวลาหลังข่าวภาคค่ำอาจจะเป็นผลดีต่อเยาวชนมากกว่า

 



ที่มา: รายงานผลการศึกษารอบที่ 1 รายการละครในช่วงเวลาเด็กเยาวชนและครอบครัวทางสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวี: โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อ เพื่อสุขภาวะสังคม (Media Monitor) ซึ่งทำการศึกษารายการละครในช่วงเวลา 16.00-22.00 น. ของเดือนสิงหาคม 2548


รูปแบบละครไทย

                   ผศ.ดร.พรทิพย์ เย็นจะบก คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ศึกษาละครไทยจากละครกลุ่มตัวอย่างจำนวน 150 เรื่อง ทั้งละครหลังข่าวและอื่นๆ โดยคิดเป็นละครที่ออกอากาศในช่วงปี พ.ศ.2550 (ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงปัจจุบัน) 40 เรื่อง ละครที่ออกอากาศในช่วงปี พ.ศ.2549 จำนวน 49 เรื่อง และละครที่ออกอากาศในช่วงปี พ.ศ.2548 และก่อนหน้านี้อีก 64 เรื่อง ซึ่งก็ได้ผลสรุปที่น่าสนใจ คือ ร้อยละ 23.3 เป็นละครเกี่ยวกับรักเชือดเฉือน และ อีกร้อยละ 8 เป็นละครเกี่ยวกับการแก้แค้น นอกจากนี้ยังมีละครเกี่ยวกับความรุนแรง การใช้กำลัง ความขัดแย้งในครอบครัว ความรักฉาบฉวย การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ ทั้งหมดนี้ หากผู้ดูขาดวิจารณญาณในการดู โดยเฉพาะที่เป็นเด็กและเยาวชนก็อาจจะเป็นการโน้มนำความคิดและพฤติกรรมลอกเลียนแบบได้   สรุปผลการศึกษาบางส่วน )



พฤติกรรมการดูรายการทีวีและโอกาสการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม

                   สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้ทำการสำรวจเรื่อง พฤติกรรมและความคิดเห็นของเด็ก
เยาวชน และผู้ปกครองต่อการจัดเรตติ้งรายการทีวี กรณีศึกษาประชาชนอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปในเขตกทม.และปริมณฑล
จำนวน 2,486 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 30 มิ.ย. - 4 ก.ค. 2550 ได้ผลสรุปที่น่าสนใจ คือ ช่วงเวลาที่เด็กรับชมรายการทีวีมากที่สุด คือ เวลา 18.01 - 20.00 น. โดยช่วงเวลา 18.01 - 20.00 น. ที่เด็กรับชมรายการทีวี มีรายการที่มีเนื้อหารุนแรง ถึงร้อยละ 23 และเด็กถึงประมาณร้อยละ 80 มีโอกาสเห็นฉากรุนแรง จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้ว่าเด็กและเยาวชนมีโอกาสเห็นฉากรุนแรงจากรายการทีวีไม่น้อยเลยทีเดียว  สรุปผลการศึกษาบางส่วน )


                   สรุป เมื่อมีเวลาว่างกิจกรรมที่คนในครอบครัวทำร่วมกันมากที่สุดคือ ร้อยละ 97.5 โดยรายการที่คนเลือกที่จะรับชมร้อยละ 51.6 ก็คือ รายการบันเทิง รายการบันเทิงเหล่านี้มีเนื้อหาที่แฝงภาพของความรุนแรง โดยช่วงเวลาที่ออกอากาศมากที่สุด คือ ช่วงเวลาระหว่าง 18.00 - 22.00 น. สิ่งที่พึงต้องระวังก็คือ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เด็กและเยาวชนรับชมมากที่สุด



เรตติ้งคืออะไร

                เรตติ้ง คือ การจัดระดับความเหมาะสมของสื่อโทรทัศน์ ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ 2 ประการ คือ เพื่อเป็นเครื่องมือของผู้ปกครองในการเลือกรับรายการโทรทัศน์ที่เหมาะสมกับบุตรหลาน และเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนให้เกิดรายการโทรทัศน์ที่สร้างสรรค์ มีคุณภาพให้มากขึ้น

                   ดังนั้น เรตติ้งจึงประกอบไปด้วย 2 ระบบ คือ ระบบการจำแนกเนื้อหาตามช่วงอายุของผู้ชม และระบบการประเมินคุณภาพเนื้อหารายการโทรทัศน์ เพื่อพิจารณาว่า รายการนั้นให้การเรียนรู้เรื่องใด


เรตติ้งกับเซ็นเซอร์เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

                   การจัดเรตติ้งเป็นการจัดระดับความเหมาะสมของสื่อ ว่าสื่อนั้นเหมาะกับผู้ชมวัยใดและมีประโยชน์ในด้านใด แต่การเซ็นเซอร์หมายถึง การพิจารณาว่าเนื้อหาในสื่อนั้นสามารถเผยแพร่ได้หรือไม่ โดยพิจารณาภายใต้กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น เรื่องความมั่นคงของรัฐศีลธรรมอันดี ความสงบเรียบร้อยของสังคม เป็นหลัก

                   โดยหลักการทำงานของสื่อนั้น  รายการโทรทัศน์ที่สามารถเผยแพร่ได้ต้องผ่านกระบวนการเซ็นเซอร์ก่อน เพื่อพิจารณาว่าขัดต่อหลักกฎหมายหรือไม่ แล้วจึงนำมาพิจารณาเรื่องเรตติ้งต่อว่ามีประโยชน์ด้านใดและเหมาะสมกับวัยใด ในช่วงการดำเนินการแรกๆ อาจมีความเข้าใจเกี่ยวกับเกณฑ์การพิจารณาเรตติ้งที่ไม่ตรงกัน  ดังนั้นหากมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะกับประเภทรายการนั้นๆ ก็จำเป็นจะต้องมีการเซ็นเซอร์เนื้อหาบางส่วนออกเพื่อทำให้เนื้อหารายการนั้นตรงกับประเภทของรายการ



ระบบเรตติ้งเดิมกับระบบเรตติ้งใหม่

                   ระบบเรตติ้งเดิม คือ ระบบเรตติ้งที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นการจัดจำแนกเนื้อหารายการตามกลุ่มอายุของผู้ชมเพียงอย่างเดียว ยังไม่ได้มีส่วนของการประเมินคุณภาพเนื้อหารายการ และจัดจำแนกประเภทรายการโดยผู้ประกอบการ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ รายการเด็ก รายการทั่วไปที่ชมได้ทุกเพศทุกวัย รายการที่ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ และรายการที่ไม่เหมาะสม ซึ่งมีตราสัญลักษณ์เพื่อบอกรูปแบบรายการไว้ 7 ประเภท  สัญลักษณ์รูปแบบรายการ 7 ประเภท )


                   ระบบเรตติ้งแบบใหม่ คือ การเพิ่มระบบการประเมินคุณภาพเนื้อหานอกเหนือจากระบบการจำแนกเนื้อหาตามช่วงอายุ เป็นกระบวนการจัดระดับความเหมาะสมของรายการ หลังจากการออกอากาศรายการโทรทัศน์โดยอาศัยการขับเคลื่อนจากภาคประชาชน ซึ่งแบ่งการประเมินออกเป็น 4 ระดับ คือ

                   ระดับ 0 จะต้องไม่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทางเพศ ภาษา และไม่มีการปรากฎตัวของภาพที่มีเนื้อหาความรุนแรง ระดับนี้เด็กและเยาวชนสามารถรับชมได้

                   ระดับ 1 มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในทางเพศ ภาษา ในระดับเล็กน้อย ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของสังคม มีความรุนแรงและความถี่ของภาพในระดับเล็กน้อยหรือต่อเนื่องไม่ยาวนาน
                   ระดับ  2  มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทางเพศ ภาษา ระดับปานกลาง ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี มีความรุนแรงและความถี่ของภาพในระดับน้อย

                   ระดับ  3  มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในทางเพศ ภาษา ในระดับมาก มีเนื้อหาขัดต่อศีลธรรมและขัดต่อ
กฎหมายอย่างชัดเจน ความรุนแรงอยู่ในระดับมาก และมีความถี่ของภาพที่ต่อเนื่องและยาวนาน

                   อาจกล่าวได้ว่า ระบบการจัดเรตติ้ง คือ การจัดระเบียบการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อมวลชนอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบ คือ 1) การจัดเรตติ้งซึ่งแบ่งรายการตามความเหมาะสมของกลุ่มอายุ โดยผู้ประกอบการเป็นผู้จำแนกเอง และ 2) การจัดเรตติ้งซึ่งแบ่งรายการตามความเหมาะสมของเนื้อหาและกลุ่มอายุ โดยให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดจำแนก ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่การจำแนกช่วงเวลาในการนำเสนอที่เหมาะสมต่อไป

                   และเพื่อเป็นการปกป้องการเข้าถึงสื่อที่ไม่เหมาะสมในกลุ่มเด็กและเยาวชน ทางศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม จึงได้ประสานงานกับกรมประชาสัมพันธ์ และนักวิชาการ เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการจัดเรตติ้งแบบใหม่ ซึ่งประเมินทั้งคุณภาพเนื้อหาของสื่อและความเหมาะสมกับกลุ่มอายุ โดยมุ่งให้เครือข่ายภาคประชาสังคมได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง หากท่านผู้ใดสนใจสามารถเข้าไปโหวตการจัดระดับรายการโทรทัศน์ หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.me.or.th




เรียบเรียงโดย :  ศิริพร เค้าภูไทย สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ
แหล่งที่มา :  - โครงการศึกษาและเฝ้าระวัง เพื่อสุขภาวะ (Media Monitor). จี้ระเบียบทีวีสาธารณะสกัดมิวสิคโป๊. 2549 : จำนวน 4 หน้า
http://www.mediamonitor.in.th/index.php ?option=com_content&task=view&id=170&Itemid=0

 - โครงการศึกษาและเฝ้าระวัง เพื่อสุขภาวะ (Media Monitor).จัดเรตติ้งรายการทีวี กลัวจะเป็นแค่เรื่องตลก. 2549 : จำนวน 2 หน้า
http://www.mediamonitor.in.th/index.php?option=com_content&task=view&id=122&Itemid=0

 - โครงการศึกษาและเฝ้าระวัง เพื่อสุขภาวะ (Media Monitor).ทีวีทุกช่องร่วมจัดเรตติ้งรายการ ขึ้นโลโก้บนจอ 4 ระดับกลุ่มผู้ชม. 2549 : จำนวน 2 หน้า
http://www.mediamonitor.in.th/index.php?option=com_content&task=view&id=120&Itemid=0

 - โครงการศึกษาและเฝ้าระวัง เพื่อสุขภาวะ (Media Monitor). ผู้จัดยกมือสนับสนุน แย่งระดับคนดูทีวี. 2549 : จำนวน 3 หน้า
http://www.mediamonitor.in.th/index.php?option=com_content&task=view&id=148&Itemid=0

 - โครงการศึกษาและเฝ้าระวัง เพื่อสุขภาวะ (Media Monitor). จัดเรตติ้งรายการทีวี วธ.ชวนผู้ปกครองร่วมโหวต. 2549 : จำนวน 3 หน้า
http://www.mediamonitor.in.th/index.php?option=com_content&task=view&id=170&Itemid=0

 - โครงการศึกษาและเฝ้าระวัง เพื่อสุขภาวะ (Media Monitor). รายงานผลการศึกษารอบที่ 1 รายการละครในช่วงเวลาเด็กเยาวชนและครอบครัวทางสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวี. 2548: จำนวน 4 หน้า
http://www.mediamonitor.in.th/index.php?option=com_con tent&task=view&id=84&Itemid=74

 - โครงการวิจัยและพัฒนาระบบประเมินคุณภาพเนื้อหา. เชิงอรรถ ๖ ประการในการจัด เรตติ้งโทรทัศน์. 2550: จำนวน 2 หน้า
http://www.me.in.th/blog_view.php?id=47&owner=ittipol4

 - โครงการวิจัยและพัฒนาระบบประเมินคุณภาพเนื้อหา. ๒๐ ข้อความรู้เกี่ยวกับระบบเรตติ้งรายการโทรทัศน์. 2550: จำนวน 5 หน้า
http://www.me.in.th/blog_view.php?id=99&owner=ittipol

 - มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก (มพด.). รายการโทรทัศน์ มีอะไรให้เด็กดู. จำนวน 2 หน้า
http://www.iamchild.org/childmedia/doc/tv03.html

 - กิมหยง.คอม. สัญลักษณ์ประหลาดหน้า TV. 2549: จำนวน 2 หน้า
http://www.gimyong.com/general/symbol.php

 - หนังสือพิมพ์มติชน. รู้เท่าทันละครไทย. วันที่ 11 กรกฎาคม 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10714. จำนวน 2 หน้า
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01ent03110750§ionid=0105

 
แหล่งที่มา :  - โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อ เพื่อสุขภาวะของสังคม
   http://www.mediamonitor.in.th

 - โครงการวิจัยและพัฒนาระบบประเมินคุณภาพเนื้อหาสื่อ
   http://www.me.in.thl

 - สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
   http://portal .nso.go.th/otherWS-world-context-root/index.jsp




 












หน้าแรก | เกี่ยวกับแผนงาน | เครือข่ายและกิจกรรม | ผลผลิตและรายงาน | ข้อมูลสถิติ | การจัดการความรู้ | หน่วยงาน | ติดต่อแผนงาน | เจ้าหน้าที่ดูแลระบบ
แนะนำแผนงาน | ข่าวกิจกรรม | เกาะติดกิจกรรมเด่น | หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | ผลผลิตและรายงาน| รายงานสุขภาพ| ก้าวใหม่กับ HISO | สถานการณ์สุขภาพประเทศไทย
การวิเคราะห์สถานการณ์สุขภาพ | สถานการณ์ข่าวสุขภาพ | เรื่องเล่าข่าวสุขภาพ | สื่อข้อมูลสุขภาพ | แบบสำรวจสุขภาพ | webbord | คำถามที่พบบ่อย | สมุดเยี่ยมชม | บริการข้อมูล