 |
ผู้จัดการออนไลน์ [ วันพฤหัสบดี ที่ 4 เดือนพฤจิกายน 2553 ] |
|
| "แฟมิลี่แมน"...ช่วยทำงานบ้านไม่น่าอาย |
จารยา บุญมาก
"ศักดิ์ศรีของชายจะหายไป หากกลายเป็นผู้ตามของหญิง" เชื่อว่าความคิดนี้ ยังมีอยู่ในสังคมไทย และนำมาสู่ความเหลื่อมล้ำระหว่างหญิงกับชาย จนบางครั้งเพศชายมักทระนงตนว่าคือ ผู้ยิ่งใหญ่ มีสิทธิคิดและทำทุกอย่างตามความพึงพอใจ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเพศหญิง รวมถึงครอบครัวด้วย
มงคล ยางงาม ชายผู้ใช้แรงงานวัย 38 ปีก็หนีไม่พ้นบ่วงความคิดนี้ ทว่า ปัจจุบันเขาเปลี่ยนไป หลังจากที่พลิกชีวิตจากนักเลงสุรา มาเป็นผู้นำครอบครัวมีจิตใจอ่อนโยนทำหน้าที่ของสามี ที่ช่วยภรรยาเลี้ยงลูก 3 คนด้วยหวังว่าเขาจะเติบโตมาเป็นคนดีไม่ติดเหล้าเหมือนอดีตที่ตนเองเคยเป็นมา
"เมื่อก่อนผมมองว่าผู้หญิง คือ เพศอ่อนแอ ไม่เหมาะกับการทำหน้าที่ผู้นำ ส่วนการอยู่บ้านเฉยๆ เลี้ยงลูกและทำงานบ้านก็แค่เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ยุ่งยาก ต่างกับผู้ชาย ซึ่งรับภาระเป็นหัวหน้าครอบครัวในเมื่อต้องทำงานหาเงิน ย่อมมีบ้างที่เหนื่อยและอยากพักผ่อนโดยการสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ซึ่งผมก็ใช้เวลาในส่วนนี้มานานนับ 10 ปีขณะที่เวลาเอาใจลูกกับภรรยาแทบจะไม่มีเลย ซ้ำร้ายยังชอบดุด่าภรรยาทุกครั้งที่ออกตัวห้ามไม่ให้ไปตั้งวงเหล้ากับเพื่อน"มงคล เล่าย้อนวันวาน
ช่วงเวลาที่ครอบครัวมีสมาชิกเพิ่มเป็นเด็กชาย 2 คน และเด็กหญิง 1 ทำให้เขาเริ่มมองทุกอย่างบนพื้นฐานของความเท่าเทียมมากขึ้น เพราะเห็นภรรยาต้องอดหลับอดนอนกับการเลี้ยงลูก โดยเฉพาะเสียงร้องยามป่วยไข้ของลูก ทำให้เขารู้ว่า นั่นคือภาระที่ผู้หญิงต้องแบกรับด้วยจิตใจที่มีทั้งความเข้มแข็งและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน หลังจากนั้นก็เริ่มช่วยภรรยาเลี้ยงลูกด้วยการขับร้องบทกวี กลอน กล่อมลูกให้นอน ขณะที่ภรรยาทำงานบ้าน ซึ่งมงคลก็ทำได้ดีมาได้ยาวนานถึง6 ปี และตั้งใจว่าจะทำตลอดไป
ไม่ต่างจาก ดำรงค์ เภตรา อดีตพนักงานขับรถโดยสารประจำทาง กทม. วัย 64 ปี ที่อดีตเป็นคนเคยดื่มเหล้าจัดมาก เงินเดือนที่ได้ต้องเอาไปใช้หนี้จากการดื่ม จนนำมาสู่ความรุนแรงขั้นทำร้ายร่างกายภรรยา แต่เมื่อเริ่มมีหนี้สินมากมาย และลูกชายติดยาเสพติด เขาก็รับไม่ได้กับพฤติกรรมที่สังคมเหยียดหยามจึงตัดสินใจเลิกเหล้าและหันมาทำหน้าที่สามีที่ดีด้วยการแสดงออกทางความรักกับครอบครัวและพาลูกชายไปบำบัดกระทั่งเลิกยาได้ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัว พร้อมทั้งช่วยภรรยาทำงานบ้านทุกอย่าง ทั้งล้างจาน กวาดบ้านถูบ้าน ทำกับข้าว ที่น่าภาคภูมิใจ คือ ดำรงค์ได้เป็นประธานชมรมผู้สูงอายุและประธานชมรมกองทุนสวัสดิการชุมชนสวนอ้อย กทม.
"คิดว่าชีวิตช่วงติดเหล้ามากๆ นั้น เหมือนตกนรกทั้งเป็นลูกก็เสีย เมียก็จะมาตีจากแทบไม่เหลืออะไร แต่พอเลิกเหล้าได้ คนในครอบครัวก็ให้อภัย ขณะที่สมาชิกในชุมชนก็ไว้ใจให้ทำหน้าที่ผู้นำ คิดว่านี่แหละคือ รางวัลแห่งความดีหลังจากเลิกเหล้า รวมถึงการที่ครอบครัวให้ การยอมรับผมและได้รู้ว่าความรุนแรงไม่ใช่ทางออกและการทำงานบ้านช่วยเหลือครอบครัวก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย" ลุงดำรงค์เล่าอย่างภูมิใจ
นอกจากกชายไทยที่กลับตัวกลับใจได้อย่าง'พี่มงคล'และ 'ลุงดำรงค์' แล้ว ยังมีครอบครัวข้าราชการตำรวจไทย อย่าง พ.ต.ท.พิเชียร สุวพิศข้าราชการตำรวจสถานีตำรวจภูธรสลุย จ.ชุมพร ผู้ที่ใช้ชีวิตครอบครัวอย่างมีความสุข ด้วยการหลอมรวมความผูกพันในแบบสามี ภรรยา ที่ไม่ว่า ชายหรือหญิงก็สามารถเป็นทั้งผู้นำและผู้ตามได้โดยไม่เคยมีปัญหาวิวาทกันถึงขั้นด่าหยาบคาย หรือทำร้ายร่างกายปรากฏให้คนรอบกายได้เห็นเลย
พ.ต.ท.พิเชียรเล่าว่า ตั้งแต่แต่งงานกันตนช่วยภรรยาทำงานบ้านทุกอย่าง โดยไม่ผลักภาระให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องแบกรับ และยอมรับว่า มีสังสรรค์กับเพื่อนร่วมวงการบ้างแต่อยู่บนพื้นฐานของความพอดี ไม่ถึงกับเมาจนทำให้ภรรยากับลูกต้องลำบากใจ
"เพื่อนๆ อาจดูเหมือนผมกลัวภรรยาแต่ก็ไม่เคยนำไปคิดให้กลุ้มเพราะรู้ว่า ทำดีที่สุดแล้ว และที่เป็นแบบนี้อาจเป็นเพราะโตมากับครอบครัวที่มีพ่อนิสัยคล้ายกัน และมีแม่นิสัยอ่อนโยนก็เป็นได้" พ.ต.ท. พิเชียร อธิบาย
ตำรวจหนุ่มใหญ่ วัย 46 ปี บอกด้วยว่าอาชีพตำรวจทำให้ตนได้เห็นถึงความทุกข์ของเด็กและสตรีที่ถูกเพศชายทำร้ายมามาก ทำให้คิดว่า ผู้ชายควรให้เกียรติผู้หญิง หากมีครอบครัวแล้วควรใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ ต้องมองว่า ภรรยาไม่ใช่คนรับใช้ ไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของสามี ดังนั้น คดีความรุนแรงในครอบครัวจะลดลงได้ เพศชายต้องเลิกคิดว่า ตัวเองเป็นใหญ่และหันมาทำความเข้าใจผู้หญิงมากขึ้น
ชีวิตครอบครัวของชายทั้ง 3 คน สะท้อนให้เห็นว่า หนทางของการสร้างสังคมมีสุขครอบครัวอบอุ่นไม่ได้ต้องการให้ใครเป็นผู้นำฝ่ายเดียว หากแต่ต้องการการเป็นทั้งผู้นำและผู้ตามที่ดี บนพื้นฐานของความเท่าเทียม
| |
|
|
