|
ผู้จัดการออนไลน์ [ วันจันทร์ ที่ 18 เดือนตุลาคม 2553 ] |
|
เตรียมเสนอ สธ.ร่วมมืออียูหนุน เมดิคัลฮับ |
ชง จุรินทร์ ร่วมมือยุโรป หนุนโครงการ เมดิคัลฮับ พร้อมมีแผนดันวัดไทยในต่างแดนเป็น ศูนย์กลางพัฒนาสุขภาพชุมชนไทย
นพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ในการประชุมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข วันที่ 18 ต.ค.นี้ ทางกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จะรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานตามนโยบายศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย (Medical Hub) ในรอบ 1 ปี ต่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยมีการรายงานถึงความก้าวหน้าในเรื่องต่างๆ เช่น การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนรายงานแผนการส่งเสริมพัฒนา และการเพิ่มขีดความสามารถในการจัดบริการสุขภาพ โดยทางกรมสนับสนุนบริการสุขภาพเตรียมที่จะเสนอนายจุรินทร์ให้มีการทำบันทึกลงนามความตกลงกับสหภาพยุโรป หรืออียู เพื่อให้มีการส่งต่อผู้ป่วยจากประเทศในยุโรปมารักษาในประเทศไทยได้สะดวกขึ้น เพราะพบว่าการรักษาในบางโรค เช่น โรคสะเก็ดเงิน หากมารักษาในประเทศไทยจะได้ผลดีกว่าการรักษาในบางประเทศแถบยุโรป เนื่องจากการรักษาโรคนี้จะต้องให้ผู้ป่วยได้รับแสงแดดร่วมกับการรักษาจากยาด้วย
ขณะนี้สถานบริการต่างๆมีความพร้อมที่สูงมาก ในการดำเนินการตามโครงการ Medical Hub และโดยหลักการของโครงการนี้เพื่อต้องการส่งเสริมให้สถานบริการของรัฐกับเอกชนมีมาตรฐานเดียวกัน จึงต้องมีการส่งเสริมไปพร้อมๆ กัน ทั้งนี้จะมีการนำเสนอความก้าวหน้าทั้งหมดในการดำเนินงานตามนโยบาย Medical Hub ต่อนายจุรินทร์ ในการประชุมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขในวันที่ 18 ต.ค.นี้ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพกล่าว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับแผนการส่งเสริมพัฒนา และการเพิ่มขีดความสามารถในการจัดบริการสุขภาพ ที่จะมีการรายงานในที่ประชุม สธ.นั้น นอกจากแนวทางการลงนามกับเครือสหภาพยุโรป ยังมีแนวทางการการดำเนินงานอื่นๆ ด้วย เช่น การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการบริหารศูนย์กลางสุขภาพระหว่างประเทศ การเตรียมจัดตั้งศูนย์ One Stop service Center เพื่อให้บริการชาวต่างชาติแบบครบวงจร ใช้งบลงทุน 43 ล้านบาท การส่งเสริมพัฒนาสถานพยาบาลให้เข้าสู่การรับรองคุณภาพ และมาตรฐาน (Joint Commission International) หรือ JCI ซึ่งได้รับการยอมรับทั่วโลก การพัฒนาชุมชนไทยในต่างประเทศให้มีสุขภาพดีแบบวิถีไทย โดยใช้วัดไทยในต่างประเทศเป็นศูนย์กลางดำเนินงานร่วมกับพระธรรมทูตไทยในต่างประเทศ เพื่อให้ชาวไทยมีความรู้ในการดูแลสุขภาพ โดยมีพื้นที่นำร่องนั้นเบื้องต้นอาจกำหนดเป็นที่สหพันธรัฐเยอรมนี และสหรัฐอเมริกา ที่มีชาวไทยอาศัยอยู่จำนวนมาก เป็นต้น
| |
|
|