วิจัยพบผักจิ้มน้ำพริก กระถิน ติ้ว หมาก พลู มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับวิตามินอี คือ เป็นสารกันหืนได้ โดยจากการวิจัยพบว่า หนึ่งในนั้นคือ ผักติ้ว ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมากที่สุด นางพิชญ์อร ไหมสุทธิสกุล นักศึกษาโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศึกษาพบว่า ติ้ว ซึ่งเป็นพืชผักธรรมชาติที่หาซื้อได้ตามท้องตลาดสามารถนำมาสกัดเป็นสารกันหืนในอาหารได้ผลดี ปลอดภัย และราคาถูก หากสามารถนำไปต่อยอดเชิงการค้าทั้งในส่วนของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอางจะช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าและลดการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยสารกันหืนที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารขณะนี้เป็นสารกันหืนสังเคราะห์อัลฟา โทคอฟรีรอล ซึ่งเป็นสารประเภทวิตามินอี มีคุณสมบัติกำจัดอนุมูลอิสระได้
แต่เมื่อนำมาทำการทดลองวัดหาค่าการต้านอนุมูลอิสระแล้วพบว่า ติ้ว สามารถยับยั้งการหืนของขนมขบเคี้ยวได้ดีกว่าสารสังเคราะห์ ทดลองด้วยการเคลือบสารสกัดจากติ้วบนขนม แล้วนำมาให้กลุ่มตัวอย่างรับประทาน พบว่า ฟีนอลิกจาก ติ้ว สามารถป้องกันการหืนบนขนมได้ดีกว่าอัลฟา โทคอฟรีรอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สังเคราะห์
สำหรับสารฟีนอลิก ซึ่งใช้ต้านอนุมูลอิสระพบในพืชที่เกิดในบริเวณที่มีแสงแดดมากและพืชเมืองร้อนก็จะสร้างสารฟีนอลิก ออกมาได้มากกว่าบริเวณที่ไม่มีแดดซึ่งเหมาะกับประเทศไทย โดยสารฟีนอลิก พบมากในผักที่รับประทานกับน้ำพริก เช่น ติ้ว กระโดน กระถิน และพวกหมาก พลู สีเสียด และพืชที่ผลิตไวน์ เช่น ลูกหว้า มะเม่า มะเกลี้ยง เป็นต้น ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ แต่ต้องทำการทดสอบความเป็นพิษก่อน ซึ่งถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่มีพิษก็จะสามารถนำมาผลิตในเชิงการค้าได้ทันที เนื่องจากในพืชบางชนิดยังพบว่ามีสารก่อมะเร็งรวมอยู่ด้วย เช่น กลุ่มของหมาก
อย่างไรก็ดี หากมีการต่อยอดจนสามารถผลิตสารสกัดติ้วในเชิงพาณิชย์ได้ก็จะช่วยลดอัตราการนำเข้าของสารสกัดพืชจากต่างประเทศ และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรไทยด้วย |