HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
กรุงเทพธุรกิจ [ วันที่ 02/04/2555 ]
หยุด "อ้วน" ก่อนสายเกินแก้

ไม่ใช่แค่ไม่สวย ไม่ใช่เรื่องดูไม่ดี แต่ความอ้วนกำลังนำมาซึ่งปัญหาด้านสุขภาพของคนไทยจำนวนไม่น้อย  
          ผลการวิจัยของโรงพยาบาลจุฬาฯ พบแนวโน้มว่ามีผู้ป่วยโรคอ้วนผิดปกติเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และจากการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยโรคอ้วนผิดปกติ 100 ราย ปรากฏว่า ร้อยละ 28 เป็นโรคเบาหวาน และร้อยละ 56 เป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งร้อยละ 80 โรคแทรกซ้อนดังกล่าวหายไปหลังจากลดน้ำหนักลง
          รศ.นพ.วีรพันธุ์  โขวิฑูรกิจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานสัมมนา “แพทย์เตือนภัย หยุดภาวะโรคอ้วน กรณีศึกษาจากประสบการณ์จริง” ว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา และพบว่าโรคอ้วนมีความสัมพันธ์เสี่ยงต่อชีวิตทั้งในเพศหญิงและเพศชาย ทุกกลุ่มอายุ โดยผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI : น้ำหนักเป็นกิโลกรัมหารด้วยความสูงเป็นเซนติเมตรกำลังสอง) มากกว่า 30 จะมีความเสี่ยงต่อชีวิตเพิ่มขึ้น  
          และความเสี่ยงในการเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นตามค่า BMI ที่เพิ่มขึ้น ผู้ที่มี BMI มากกว่า 35-40 ขึ้นไป จะอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยอ้วนผิดปกติซึ่งจะยากต่อการรักษาและควบคุมอาหาร และภาวะเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดในสมองแตก ไขมันในเลือดสูง โรคไขข้อและกระดูกพรุน โรคหยุดหายใจขณะเวลาหลับ ซึ่งผู้ป่วยเกือบทั้งหมดจะมีโรคแทรกซ้อนมากกว่า หนึ่งโรค
          ในมุมของแพทย์ผู้ทำการรักษาผู้ป่วยโรคอ้วน รศ.นพ.สุเทพ อุดมแสวงทรัพย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การรักษาแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มค่า BMI ไม่เกิน 35 จะใช้วิธีควบคุมปริมาณอาหาร ลดแป้ง น้ำตาลและไขมัน ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม แต่ในกลุ่มโรคอ้วนผิดปกติได้แก่ผู้ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 40 หรือผู้ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 35 ร่วมกับมีโรคแทรกซ้อน เช่น โรคเบาหวาน ความดัน เป็นต้น การรักษาหลักจะใช้วิธีศัลยศาสตร์ โดยอาศัยหลักการสำคัญ 2 หลัก คือ การลดขนาดกระเพาะ และ การลดการดูดซึม
          ตามหลักการดังกล่าวสามารถให้การผ่าตัด 3 วิธี คือ หนึ่ง การรัดกระเพาะ โดยใช้ซิลิโคนทางการแพทย์รัดส่วนต้นของกระเพาะอาหารทำให้อิ่มเร็ว สอง การตัดกระเพาะส่วนใหญ่ที่ขยายได้ออกให้เหลือเป็นหลอดของกระเพาะอาหารแทน และ สาม การตัดลดขนาดกระเพาะอาหารและบายพาสลำไส้ซึ่งทำให้กระเพาะมีขนาดเล็กและการบายพาสทำให้น้ำย่อยและอาหารพบกันในระดับที่ไกลลงไปอีก 150 เซนติเมตร วิธีนี้จึงเป็นวิธีหลักและได้ผลดีที่สุด
          จากประสบการณ์ในการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนผิดปกติใน รพ.จุฬาลงกรณ์ จำนวนทั้งสิ้น 100 ราย โดยเป็นผู้หญิง 51 ราย และผู้ชาย 49 ราย อายุระหว่าง 18 ถึง 57 ปี น้ำหนักเฉลี่ยก่อนรักษาคือ 136 กิโลกรัม (87 ถึง 280 กก.) พบว่ามีโรคแทรกซ้อนคือ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ และโรคไขมันในเลือดสูงผิดปกติ
          ทั้งนี้ผลการติดตามหลังการผ่าตัดในผู้ป่วยดังกล่าว พบว่าโดยเฉลี่ยสามารถลดน้ำหนักได้ถึงคนละ  50  กิโลกรัม และผู้ป่วยทั้งหมดดีขึ้นจากโรคแทรกซ้อน โดยหายขาดจากโรคเบาหวานร้อยละ 82 และโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดและโรคหยุดหายใจขณะเวลาหลับก็หายขาดถึงร้อยละ 60 จากประสบการณ์นี้ทำให้ทราบถึงมหันตภัยจากโรคอ้วน และหากสามารถควบคุมโรคอ้วนได้ โรคแทรกซ้อนต่างๆ จะดีขึ้นหรือหายไป ความรู้ที่ได้นี้หากเราสามารถช่วยกันหยุดโรคอ้วนได้ก็สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ จึงอยากเชิญชวนทุกคนดูแลตัวเองไม่ให้อ้วนจะได้มีสุขภาพที่ดี” รศ.นพ.สุเทพกล่าว
          ด้าน อัฐพล แดงคำคูณ หรือ 'ปิ๊ก น้ำหวาน' หนึ่งในตัวแทนผู้ป่วยโรคอ้วนผิดปกติและได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะเรียบร้อยแล้ว กล่าวว่าขณะที่มีภาวะโรคอ้วนสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตทุกอย่าง แม้พยายามกินยาลดความอ้วน แต่ก็กลับมาอ้วนอีก เพราะไม่เคยคิดออกกำลังกายเลย แต่การผ่าตัดรักษาโรคอ้วนมีผลทำให้น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่อง รู้สึกสบายตัวมากขึ้นและโรคต่างๆ ก็หายไป เช่น โรคหยุดหายใจขณะหลับหายไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การรักษาด้วยการผ่าตัดเป็นการรักษาที่ปลายเหตุและไม่ใช่คำตอบของคนที่ไม่ดูแลตัวเอง
แนวทางที่ถูกต้องคือ การสำรวจดัชนีมวลกายของตนเองว่าเกินมาตรฐานหรือไม่ หากเกินกว่า 25 ถือว่าเข้าสู่ภาวะโรคอ้วนต้องพยายามหยุดน้ำหนักไว้ทันที และปรับพฤติกรรมไม่บริโภคแป้งและน้ำตาลร่วมกับเคลื่อนไหวออกกำลังกายให้มากขึ้น
          “หลังการผ่าตัดแล้วต้องมาพบแพทย์เป็นระยะๆ เพื่อดูว่าสามารถควบคุมน้ำหนักได้ผลหรือไม่ ซึ่งการผ่าตัดลดน้ำหนักจะทำให้น้ำหนักลดลงได้อย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องภายหลังจากการผ่าตัด 18-24 เดือน น้ำหนักจะคงที่ แต่มีบางส่วนน้ำหนักจะกลับเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย ซึ่งก็ต้องควบคุมอาหาร ลดจำนวนแป้งและของหวานของมันเช่นกัน เพราะจะมีผลกับการลดน้ำหนัก ทำให้ไม่ต่อเนื่องและไม่เป็นผลที่น่าพอใจ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจะช่วยให้ผู้ป่วยโรคอ้วนสามารถลดน้ำหนักได้ในระยะยาวและลดได้อย่างรวดเร็ว” อัฐพล กล่าว
          ทราบอย่างนี้แล้ว หากใครรู้ว่าตนเองกำลังมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วน คงต้องเร่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก่อนจะสายเกินแก้


pageview  1205008    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved