HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
กรุงเทพธุรกิจ [ วันที่ 10/06/2556 ]
นวดอย่างไร ปลอดภัย ห่างไกลโรค


          การนวดแผนไทย หรือนวดแผนโบราณ เป็นศาสตร์บำบัด และรักษาโรคแขนงหนึ่งที่มีมายาวนานตั้งแต่สมัยโบราณสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งการนวดนอกจากจะเป็นวิธีแรกที่มนุษย์รู้จักนำมาใช้รักษาอาการปวดแล้ว ยังสามารถช่วยเสริมในการบำบัดรักษาโรคได้อีกหลายชนิด เช่น ไมเกรน อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น อย่างไรก็ตามแม้การนวดที่ดูไม่มีอันตราย และเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายในสายตาของคนทั่วไป แต่การนวดก็ยังมีข้อห้าม ข้อควรพึงระวัง ที่ผู้เข้ารับการนวดควรรู้และตระหนักเพื่อความปลอดภัย
          รศ.นพ.ประดิษฐ์ ประทีปะวณิช ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และอดีตนายกสมาคมศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การนวดเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้บำบัดรักษาโรคมายาวนาน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยการนวดถือเป็นการแพทย์มายาวนานแต่เริ่มมีการบันทึกในสมัยสุโขทัย โดยหากแบ่งตามศาสตร์การนวดแผนไทยแล้ว การนวดจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท การนวดแบบเชลยศักดิ์ เป็นวิธีการนวดที่ค่อนข้างรุนแรง มีการใช้ศอก ใช้เข่า เท้าเหยียบ ดึงดัด เรียกว่าครบเครื่อง เป็นที่นิยมของบุคคลทั่วไป หรือทาสในสมัยนั้น ที่ต้องทำงานหนักร่างกายกำยำ
          ส่วนประเภทที่ 2 คือ การนวดแบบ ราชสำนัก เป็นการนวดที่ปรับปรุงมาจากนวดแบบทั่วไปให้สุภาพและลดความรุนแรง เพื่อนวดเจ้านายชั้นสูงในราชสำนัก ใช้เท้าขึ้นไปเหยียบไม่ได้ เข่า ศอก ดึงดัด ตัดออกหมด ให้ใช้มืออย่างเดียว ซึ่งทุกวันนี้เรียกการนวดแบบราชสำนักว่า "นวดอายุรเวช" ซึ่งเป็นลักษณะของ "นวดกดจุด"  ปัจจุบันการนวดแผนไทยได้บูรณาการมาใช้ร่วมกับการแพทย์สมัยใหม่ใน 3 รูปแบบ ตามสรรพคุณ คือ 1.นวดเพื่อสุขภาพ เป็นการนวดเพื่อความผ่อนคลาย บำรุงสุขภาพ ทำให้สดชื่น กระฉับกระเฉง ดังเช่น สถานบริการนวดทั่วไป สปาต่างๆ เป็นการนวดที่มีให้บริการมากที่สุดในปัจจุบัน 2.นวดเพื่อการบำบัดรักษา ซึ่งได้ผลดีมากสำหรับคนไข้ที่มีอาการปวดเรื้อรังของระบบกระดูก และกล้ามเนื้อ เช่น ปวดหลัง ปวดคอ เรื้อรัง สะบักจม ไหล่ติด รวมถึงนวดรักษาไมเกรน เป็นต้น และ 3.นวดเพื่อการฟื้นฟูสรรถภาพ เป็นการนวดเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัว เช่น คนไข้ที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายไม่ว่าจะเป็นระบบข้อต่อ กล้ามเนื้อ รวมถึงระบบไหลเวียนให้ฟื้นตัว ซึ่งในมุมมองของแพทย์สมัยใหม่เชื่อว่าการนวดแบบนี้ช่วยลดการเกร็งของกล้ามเนื้อได้ และยังช่วยให้คนไข้รู้สึกผ่อนคลายสบายตัว และลดอาการเครียดของผู้ป่วยเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
          แน่นอนว่าการนวดมีประโยชน์มากมาย ช่วยลดปวด ให้ความผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใต แต่ก็เหมือนกับกรณีของการรักษาด้วยยาหรือผ่าตัดที่มีข้อควรระวังหรือข้อห้ามอยู่ไม่น้อย
          รศ.นพ.ประดิษฐ์ กล่าวว่า โดยภาพรวมการนวดถือเป็นการรักษาที่ปลอดภัยหรืออันตรายน้อยมาก ถ้ารู้ข้อควรระวังหรือข้อห้าม อันได้แก่
          ระยะที่มีไข้ โดยเฉพาะไข้สูงเกิน 38.5 องศา ให้หลีกเลี่ยงการนวดเพราะกล้ามเนื้อยอกระบมได้ง่าย
          ข้อ และกล้ามเนื้ออักเสบในระยะเฉียบพลันที่มีอาการปวดมาก บวมแดง ให้หลีกเลี่ยงจนกว่าอาการจะทุเลาก่อน
          หลีกเลี่ยงการนวดบริเวณที่เคยมีกระดูกหัก หรือตำแหน่งที่มีการผ่าตัดกระดูก เช่นผ่าตัดใส่ข้อเทียม เพราะกระดูกที่เคยหักเมื่อประสานกันแล้วจะไม่แข็งแรงเท่าเดิม อาจทนแรงกด ไม่ได้ ส่วนบริเวณที่ใส่ข้อเทียมอาจมีการเคลื่อนหรือหลุดได้
          ภาวะข้อหลวมหรือเคลื่อน เช่น ผู้ป่วยไขข้อรูมาตอยด์ ผู้ที่มีกระดูกสันหลังเคลื่อน ไหล่หลวม และหลุดบ่อยๆ ควรหลีกเลี่ยงการบีบนวดบริเวณของข้อนั้นๆ
          ผู้ที่มีภาวะผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด เพราะอาจทำให้เลือดออกใต้ผิวหนังเป็นจ้ำ หรือเป็นก้อนเลือดในกล้ามเนื้อได้ถ้านวดรุนแรง
          ผู้ที่มีปัญหามีลิ่มเลือดในหลอดเลือด โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานมาเป็นเวลานาน มีไขมัน ในเส้นเลือดสูง อาจจะมีผนังหลอดเลือดที่ขรุขระทำให้เกล็ดเลือดไปเกาะ และจับตัวกลายเป็นลิ่มเลือดได้ ซึ่งพบบ่อยที่บริเวณกล้ามเนื้อน่องทำให้มีอาการปวด และบวมแดง หากนวดแล้วลิ่มเลือดหลุด มักจะเข้าไปอุดเส้นเลือดที่ปอดและเป็นอันตรายต่อชีวิต
          ผู้สูงอายุที่เป็นโรคกระดูกพรุนขั้นรุนแรง ไม่แนะนำให้นวดเพราะกระดูกอาจหักได้
          ผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง หรือมีบาดแผล ห้ามนวดหรือสัมผัสบริเวณนั้นๆ เพราะเสี่ยงต่อการติดโรคหรือติดเชื้อ
          ผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งมักจะมีอาการ ปวดเมื่อย สามารถนวดได้เบาๆ แต่ต้องหลีกเลี่ยง ตำแหน่งที่เป็นมะเร็ง
          ห้ามนวดในสตรีตั้งครรภ์โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนแรก เพราะเด็กในครรภ์ยังอยู่ในภาวะที่อ่อนแอ แต่ถ้าหากมีอาการปวดหลังในช่วงที่เลย 3 เดือนแรก นวดได้ แต่ด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรนวด บริเวณหน้าท้อง ควรนอนตะแคงนวด ไม่ให้นอนคว่ำ
          สำหรับผู้ที่ไม่เคยนวดไทยมาก่อน ในการนวดครั้งแรกๆ อาจไม่แน่ใจ กล้าๆ กลัวๆ ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการเกร็งไม่ผ่อนคลายขณะ ถูกนวด จะปวดยอกตามมาได้ ซึ่งเป็นเรื่อง ที่พบได้ประจำ ไม่ต้องกังวลเพราะอาการ ต่างๆ เหล่านี้มักจะหายไปใน 1-3 วัน และ จะรู้สึกสบายหายปวดเมื่อยตามมา แต่หาก อาการปวดไม่หาย หรือปวดมากขึ้น ควรปรึกษา แพทย์
          รศ.นพ.ประดิษฐ์ กล่าวว่า ในภาพรวมแล้ว การนวด เป็นการรักษาที่ได้ผลดีมากกับปัญหาปวดของระบบกระดูก และกล้ามที่เรื้อรัง เมื่อเทียบจำนวนผู้ที่มาใช้บริการกับผู้ที่เกิดปัญหาต้องถือว่าระดับความปลอดภัยในการนวด ค่อนข้างดีมาก
          หรือกล่าวอีกนัยคืออันตรายจากการนวด ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับการรักษารูปแบบ อื่นๆ เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามข้อควรระวังหรือข้อห้ามที่กล่าวไว้ข้างต้น ส่วนใครที่มีปัญหาสุขภาพหากจะใช้บริการเรื่องนวดแบบ บำบัดรักษา ควรให้ความสนใจเรื่องข้อควรระวังหรือข้อห้ามดังกล่าว และรักษากับผู้ที่มีใบรับรองด้านนี้โดยเฉพาะ
          อย่างไรก็ตามการนวดก็เป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยบำบัดรักษา แต่การจะมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนนั้น รศ.นพ.ประดิษฐ์ แนะนำ ทิ้งท้ายว่า ควรกินอาหารที่เป็นประโยชน์ หลีกเลี่ยงหรือรู้จักที่จะอยู่ร่วมกับความเครียดอย่างชาญฉลาด และหมั่นหาเวลาออกกำลังกาย ควบคู่ไปด้วย
          "อันตรายจากการนวด ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับการรักษา รูปแบบอื่นๆ เพียงแต่ ต้องปฏิบัติตาม ข้อควรระวังหรือ ข้อห้าม"


pageview  1205846    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved