HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
กรุงเทพธุรกิจ [ วันที่ 01/04/2564 ]
ไบโพลาร์ รักษาได้ เข้าใจ ให้กำลังใจ ลดการตีตรา

  องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า โรคไบโพลาร์หรือโรคอารมณ์แปรปรวนเป็นโรค ที่มีดัชนีการสูญเสียสุขภาวะด้านความพิการ สูงเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มจิตเวช และยังพบว่า มีความเสี่ยงสูงต่อการฆ่าตัวตายมากกว่าโรค จิตเวชอื่นๆ โดยความชุกชั่วชีวิตของการพยายามฆ่าตัวตายอยู่ที่ร้อยละ 25.6-42 และร้อยละ 10-20 เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย
          พฤติกรรมพยายามฆ่าตัวตายมีความสัมพันธ์กับระดับความรุนแรงของภาวะซึมเศร้า และจำเป็นต้องได้รับการรักษาและการบำบัดที่ถูกต้อง โดยทุกวันนี้สังคมไทยยังขาดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค และมีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 1  เท่านั้นที่เข้ารับการรักษา ซึ่งยังเป็นปัญหาของสังคม ไทยที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งหาแนวทางในการบริหาร จัดการโรคจิตเวช รวมถึงโรคไบโพลาร์ ควบคู่ ไปกับสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชน
          "ศ.นพ.ชวนันท์ ชาญศิลป์" นายกสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวในงานแถลงข่าว World Bipolar Day "เปิดใจให้ไบโพลาร์"  ณ โรงพยาบาลศรีธัญญา ว่า คนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตประมาณ 10 ล้านคน เป็นผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ถึง 1 ล้านคน แต่เข้ามารับการบำบัดรักษาเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น ไบโพลาร์เป็นหนึ่งในโรคที่อยู่ในกลุ่มความผิดปกติทางอารมณ์ ไม่ใช่นิสัย ไม่ใช่บุคลิก เป็นสิ่งที่รักษาได้ เรียกง่ายๆ คืออารมณ์สองขั้ว บางช่วงอาจจะ ผิดปกติ คือ มีอารมณ์เศร้าเหมือนโรคซึมเศร้าทุกประการหรือมีอารมณ์อีกขั้วคืออารมณ์ คึก สนุก อารมณ์ดีเกินไป
          "โรคไบโพลาร์จะเริ่มแสดง อาการเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น แต่คนไม่รู้ และคิดว่าเป็นเพียงอารมณ์แปรปรวนตามประสาวัยรุ่น หรือบางรายที่มีอารมณ์ซึมเศร้า (Major Depressive Episode) เด่นกว่า อารมณ์ดีมากกว่าปกติ (Mania) ก็มักจะ เข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งทำให้เสียโอกาสในการวินิจฉัยและส่งผลต่อการรักษาที่ล่าช้าไปเฉลี่ยถึง 11 ปี"
          อัตราการเกิดโรคครั้งแรก พบบ่อยที่สุดที่ช่วงอายุ 15-19 ปี รองลงมาคืออายุ 20-24 ปี โดยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยจะมีอาการครั้งแรกก่อนอายุ 20 ปี อีกทั้งโรคอารมณ์แปรปรวน ถือเป็นโรคที่มีการดำเนินโรคในระยะยาวเรื้อรัง และเป็นโรคที่มีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้สูง ประมาณร้อยละ 70-90 ประเทศไทยยังจำเป็นต้องเร่งพัฒนาด้านการจัดการสุขภาพจิตอย่างเป็นระบบ รวมถึงมุ่งเน้น การศึกษาในการพัฒนาศักยภาพเพื่อการจัดการ กับอาการตนเองด้วยตัวผู้ป่วยจิตเวชเองที่ชัดเจน
          "ปัญหาและอุปสรรคที่ผ่านมา ยังพบว่า การดูแลช่วยเหลือยังขาดเรื่องการติดตามและการกระตุ้นให้ใช้ทักษะต่างๆ ในสถานการณ์จริงอย่างต่อเนื่อง และขาดแหล่งข้อมูลความรู้ที่ช่วยในการสนับสนุนผู้ป่วยขณะเผชิญปัญหาเมื่ออยู่ที่บ้าน จึงทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการปฏิบัติตัวที่ไม่ถูกต้อง เสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงของอาการที่มากขึ้น และเกิดการกลับมาเป็นซ้ำของผู้ป่วยได้" นพ.ชวนันท์ กล่าว
          สำหรับแนวทางการรักษาโรคจิตเวช และโรคไบโพลาร์คือวิธีรักษาด้วยการใช้ยา ร่วมกับ การบำบัดทางจิตสังคม (Psychosocial therapy) เช่น จิตบำบัดปรับความคิดและพฤติกรรม จิตบำบัดเพื่อสัมพันธภาพระหว่างบุคคล สุขภาพจิตศึกษา และการบำบัดที่เน้นครอบครัว และจากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า การให้สุขภาพจิตศึกษาร่วมกับการรักษาด้วยยามีประสิทธิภาพในการช่วยลดความรุนแรงของอาการและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้ดี
          นพ.สุทธา สุปัญญา นายแพทย์ชำนาญการ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา อธิบาย เพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการรักษาโรคไบโพลาร์ หลักๆ ยังเป็นการใช้ยา เป็นโรคที่รักษาได้ โดยแบ่งเป็น ช่วงที่เป็น และ ช่วงป้องกัน ทั้งสองช่วงมียาหลายกลุ่มหลักๆ คือกลุ่มคงอารมณ์ หรืออื่นๆ ที่ทำให้อารมณ์ไม่แปรเปลี่ยน แต่เนื่องจากไบโพลาร์มีโอกาสจะกลับเป็นซ้ำ ดังนั้น นอกจากยา คือ ความเข้าใจโรค ของทั้งผู้ป่วยเองและครอบครัว
          ปัจจุบัน ประเทศไทยมีจิตแพทย์ทั่วประเทศ 1,000 คนต่อประชากรกว่า 70 ล้านคน แต่ระดับการกระจายค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ หากสงสัยว่าจะเป็นสามารถปรึกษาได้ที่ รพ. ใกล้บ้าน นอกจากนี้ ยังมีพยาบาลที่ผ่านการเทรนนิ่งด้านจิตเวชเพิ่มขึ้นเกือบทุก รพ. รวมถึง ข้อมูลในอินเทอร์เน็ต สมาคมจิตแพทย์ กรมสุขภาพจิต สายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 โดยค่าใช้จ่ายในการรักษาอยู่ในหลักประกันสุขภาพ(บัตรทอง) ประกันสังคม ข้าราชการ ได้ทุกสิทธิ
          "ดีเจเคนโด้ - เกรียงไกร พจนสุนทร" ผู้ป่วยไบโพลาร์ อธิบายว่า น้องสาวเป็นไบโพลาร์ มาก่อนประมาณปี 2549 หลังจากนั้น 5 ปี ประมาณ 2555 ตนเองเริ่มมีอาการ Mania คือรู้สึกเพลิดเพลิน ไม่ต้องนอนก็ได้ รู้สึกทำอะไร ก็สำเร็จไปหมด มีพฤติกรรมล้นๆ ถึงขั้นคิดว่าสื่อสารกับเทวดาฟ้าดินได้ คิดว่าเราเหนือกว่าคนธรรมดา คนที่สังเกตเราคนแรกคือคุณแม่ รู้ตัวอีกทีคือตอนเปลี่ยนขั้วจากสนุกสนานกลายเป็นซึมเศร้า แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงในการทำงาน จึงได้ปรึกษาหมอเบิร์ด (พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์) จึงทราบว่าเป็นไบโพลาร์
          "แวบแรกที่คิดคืออยากหาย   สิ่งแรกที่ถามหมอคือจะหายใช่หรือไม่ และไม่ปฏิเสธการรักษา ปัจจุบันรักษามา 7 ปี ดูแลตัวเอง ออกกำลังกายควบคู่กันไป ทำให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม ไบโพลาร์ไม่ได้ ทำให้ศักยภาพหายไป"
          "อุปสรรคคือสังคมที่มองเราและครอบครัว เพราะไบโพลาร์ถูกสังคมนำไปพูดปู้ยี้ปู้ยำ ทำให้ผู้ป่วยหลายคนไม่กล้าไปหา หมอและพลาดการรักษาอย่างน่าเสียดาย ไบโพลาร์ก็แค่ป่วยและรักษา อยากให้ไบโพลาร์ เป็นเรื่องธรรมดาของประเทศไทย เราใช้ตัวเอง เป็นต้นแบบ  ตอนนี้เก็เป็นดีเจเคนโด้ปกติ อยากให้คนที่เป็นไบโพลาร์ลุกขึ้นมาและพูดบางสิ่งบางอย่างด้วยกัน" ดีเจเคนโด้ กล่าว
          "พรทิพย์ พจนสุนทร" คุณแม่ดีเจ เคนโด้ กล่าวว่า การรับมือกับการที่มีคนในบ้าน เป็นไบโพลาร์ ครอบครัวสำคัญมากที่จะ ยอมรับและดูแล ส่วนแม่ต้องอดทน และต้องตั้งสติ มีความเมตา มีความรักให้ อาการบางอย่าง ที่แสดงออกมาไม่ถือสาคิดว่านั่นคืออาการของ โรค บางทีเขาจะพูดซ้ำๆ ซากๆ แต่ต้องรับฟัง ให้เขาสบายใจ เพราะฉะนั้น ความรักความอบอุ่นในครอบครัวสำคัญ ใช้ความรัก ความเมตตา เขาจะรักษาหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง


pageview  1205152    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved