HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
กรุงเทพธุรกิจ [ วันที่ 07/05/2563 ]
สธ.ชงถอดจีนพ้นชาติเสี่ยงโควิด แอตต้า หนุนปลดล็อก 2 ประเทศ - คาดจีนเริ่มเที่ยวไทยมิ.ย.นี้

 ศบค.รับฟังความเห็น8พ.ค. ก่อนผ่อนปรนเฟส2
          กรุงเทพธุรกิจ สธ.ชงถอด "จีน-เกาหลีใต้" ออกจากบัญชีประเทศเขตติดต่อโรคโควิด-19 หลังสถานการณ์ดีขึ้น พบผู้ป่วยรายวัน หลักหน่วย ล่าสุดพบติดเชื้อแค่ 3 ราย เร่งเฝ้าระวังกลุ่มติดเชื้อไม่มีอาการ สุ่มตรวจคัดกรองกลุ่ม-สถานที่เสี่ยงทุกจังหวัด เผยอัตราค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกพบเพียง 0.5% ศบค.วางไทม์ไลน์ประเมินผลมาตรการผ่อนปรนเล็ง 17 พ.ค.เข้าเฟส 2  ด้าน มท. เสนอคลายล็อกร้านวัสดุก่อสร้างในห้างฯ ด้าน"แอตต้า"ตีปีกชี้ข่าวดีภาคท่องเที่ยว คาดจีนเริ่มเที่ยวไทย มิ.ย.
          ผ่านไปเดือนกว่านับตั้งแต่พระราชกำหนด(พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.2563 เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) สถานการณ์มีแนวโน้มคลี่คลายอย่างต่อเนื่อง โดยวานนี้ (7 พ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19(ศบค.) กล่าวว่า  มีผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย รายแรกเป็นหญิงไทย 59 ปีเป็นแม่บ้าน ภูมิลำเนาจ.ยะลา ตรวจพบ จากการค้นหาเชิงรุกโดยเป็นผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยกลับจากประเทศมาเลเซีย ส่วนอีก 2 ราย ชายไทยอายุ 46 ปี และ 51 ปี อาชีพรับจ้าง กลับจากประเทศคาซักสถาน กลับถึงไทยและเข้าพักในสถานที่กักกันที่รัฐ จัดให้ (State Quarantine) และมีผู้โดยสารในเที่ยวบินเดียวกัน 55 คนและอยู่ในสถานที่กักกันของรัฐทั้งหมด ขณะนี้มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,992 ราย รักษาหายแล้ว 2,772 ราย ยังอยู่รพ. 165 ราย เสียชีวิต 55 ราย
          นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ในการประชุมศบค. ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นำเสนอ ภาพของการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ โดยสรุป คือต่างประเทศยังมีการระบาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบคือมีคนไทยกลับมาและมีการติดเชื้อเข้ามาในประเทศ ส่วนต่างประเทศที่เคยมีการระบาดและกลับมาผ่อนปรนปรากฏว่ามีการระบาดขึ้นมาอีกรอบ สำหรับในประเทศไทยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการเดินทางกลับมาจากต่างประเทศและสัมผัสเชื้อในต่างประเทศ และการเคลื่อนย้าย ของประชากรภายในประเทศ ข้อเสนอจึงให้คง มาตรการในประเทศให้เข้มข้นและตรึงการนำเข้าเชื้อจากต่างประเทศให้ได้ หากทำได้ 2 ข้อนี้ ก็จะทำให้สถานการณ์ในประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อเป็นเลขตัวเดียวและดีขึ้นเรื่อยๆ
          อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเห็นพ้องตรงกันโดยการเหลื่อมเวลาทำงาน โดยเฉพาะภาคราชการ บางแห่งเหลื่อมเวลาทำงาน 30 นาที แต่อาจจะ ต้องเหลื่อมหลายช่วงเวลามากขึ้น ได้มอบหมาย ให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พิจารณาให้มีการเหลื่อมเวลามากขึ้นหรือไม่ เพราะยังมีการทำงานอยู่ และการทำงาน ที่บ้าน ภาครัฐจะต้องให้เกิดขึ้นได้ 50% หรือมากกว่านั้น
          สธ.เสนอปลดจีนพ้นเขตโรคติดต่อ
          นพ.ทวีศิลป์กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีได้หารือในเรื่องของนโยบายต่างประเทศ ซึ่งสถานการณ์ติดเชื้อของแต่ละประเทศแตกต่าง กันไป เช่น ประเทศจีนหรือเกาหลีใต้มีการควบคุมได้พบผู้ป่วยรายใหม่เป็นหลักหน่วย โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) ได้เสนอขึ้นว่า น่าจะมีการปรับในเรื่องการประกาศรายชื่อและถอนประเทศบางประเทศออกจากบัญชีรายชื่อประเทศเขตติดโรคติดต่อโควิด-19 เพื่อให้มีเรื่อง ของการทำงานหรือเชิงความสัมพันธทางเศรษฐกิจสังคมที่ดีด้วย
          "นายกฯและที่ประชุมเห็นชอบ อย่างไรก็ตาม ต้องเป็นไปตามขั้นตอน และกิจกรรมต่างๆก็ยังต้องพึ่งพาการเดินทาง ซึ่งจะต้องระมัดระวังด้วย แต่ถ้าปลดรายชื่อประเทศออกแล้ว ไม่ได้ให้เข้าประเทศได้ทันที จะต้องมีมาตรการจัดการต่อไป ซึ่งที่ประชุมจะมีการหารือร่วมกันต่อไป"นพ.ทวีศิลป์กล่าว
          ต่อมาที่กระทรวงสาธารณสุข ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการเสนอถอดประเทศออกจากบัญชีประเทศเขตติดโรคติดต่อโควิด-19 นายอนุทินกล่าวสั้นๆว่า มี 2 ประเทศ คือ จีนและเกาหลีใต้
          ด้าน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวว่า คณะกรรมการวิชาการเห็นควรลดระดับ 2 ประเทศนี้ เนื่องจากประเทศที่จะประกาศให้เป็นเขตติดโรคติดต่อโควิด-19 พิจารณาจาก 1.สถานการณ์ผู้ป่วยรายวันในประเทศนั้นๆ โดยประเทศจีนและเกาหลีใต้จำนวนผู้ป่วยรายวันที่จะแพร่ โรคนั้นน้อยลงมาก อยู่ในระดับเลขตัวเดียวต่อวัน 2.จำนวนคนที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งแม้จะถอดประเทศจีนและเกาหลีใต้จากบัญชีดังกล่าว ก็ไม่ได้ทำให้ผู้เดินทางเข้ามาได้ทันที เพราะประเทศไทยอยู่ภายใต้พรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน และไม่ได้ทำให้คนจากประเทศดังกล่าวสามารถเดินทางได้ทันที แต่เป็นการดำเนินการให้เหมาะสมกับสถานการณ์และข้อเท็จจริง จากนี้ คณะกรรมการวิชาการจะนำเสนอต่อรมว.สธ. ในฐานประธานคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ พิจารณาลงนามในประเทศต่อไป
          "แอตต้า"ชี้ข่าวดีภาคการท่องเที่ยว
          นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า นับเป็นข่าวดีมากสำหรับผู้ประกอบการ ท่องเที่ยวไทย เมื่อกระทรวงสาธารณสุข เตรียมเสนอให้ ศบค. พิจารณาถอดชื่อประเทศจีนและ เกาหลีออกจากรายชื่อกลุ่มประเทศติดเชื้อ โควิด-19 เนื่องจากทั้งสองประเทศถือเป็นตลาดใหญ่ที่ส่งออกนักท่องเที่ยวต่างชาติ มาไทยมากที่สุดติด 5 อันดับแรก และน่าจะเป็น ประเทศแรกๆ จากเอเชียที่มีส่วนกระตุ้นให้ภาคท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวดีขึ้น หลังเผชิญวิกฤติการแพร่ระบาดมานานกว่า 3 เดือน
          คาดจีนเริ่มเที่ยวไทยมิ.ย.นี้
          หากทาง ศบค.พิจารณาถอดชื่อประเทศจีน และเกาหลีออกจากรายชื่อกลุ่มประเทศติดเชื้อ สิ่งที่ไทยต้องเร่งมือคือยุติการแพร่ระบาดภายในประเทศโดยเร็ว เพื่อให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ติดต่อกันหลายวัน จนสามารถสร้างความมั่นใจให้แก่ประเทศจีน เกาหลี รวมถึงประเทศอื่นๆ นำไปสู่การตัดสินใจถอดชื่อประเทศไทยออกจากรายชื่อกลุ่มประเทศติดเชื้อเช่นกัน เมื่อเห็นว่าไทยเป็นประเทศปลอดเชื้อจริงๆ
          "ยิ่งไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ติดต่อกันหลายวันได้ภายในเดือน พ.ค.นี้ ก็ยิ่งมีโอกาสสูงที่จะทำให้นักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่อันดับ 1 ของท่องเที่ยวไทยกลับมาเร็ว โดยแอตต้าประเมินเบื้องต้นว่า น่าจะเริ่มกลับมาในเดือน มิ.ย.นี้ และกลับมาเป็นปกติได้ในเดือน ต.ค.นี้" นายกฯ แอตต้า กล่าว
          ชี้ไทยต้องไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม
          ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า  ททท.ยังต้องจับตาสถานการณ์ว่า นักท่องเที่ยว จากทั้งตลาดจีนและเกาหลีจะทยอยกลับมาเที่ยวไทยได้จริงเมื่อไร ซึ่งระหว่างนี้สำนักงาน ททท.ได้ดำเนินกลยุทธ์รักษาความสัมพันธ์ ที่ดีและติดต่อประสานงานไปยังทุกตลาด เพื่อให้ข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขโดยตลอด
          นอกจากนี้ยังมองว่า สิ่งสำคัญคือประเทศไทยเองต้องเร่ง "คลีน" และ "เคลียร์" หมายถึงต้องไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม และในแต่ละพื้นที่ท่องเที่ยวต้องยอมรับนักท่องเที่ยวจากนอกพื้นที่ด้วย เพื่อสร้างความปลอดภัยแก่ภาคท่องเที่ยวไทยอย่างรอบด้าน
          เร่งเพิ่มยอดสุ่มตรวจทุกจังหวัด
          นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า การตรวจทางห้องปฏิบัติการโรคโควิด-19 ตั้งแต่ม.ค.-4 พ.ค. 2563 จำนวนตรวจทางห้องแล็บของไทยอยู่ที่ 230,000 คน คิดเป็น 3,421 คนต่อล้านประชากร ซึ่งมีเป้าหมายจะตรวจให้ได้ 6,000 รายต่อล้านประชากร หรือ 400,000 คน จึงจะต้องตรวจเพิ่มอีก 170,000 คน แยกเป็นการตรวจในกลุ่ม ผู้ต้องสงสัยติดเชื้อเพื่อวินิจฉัย 85,000 คน และเฝ้าระวังและค้นหาในประชากรกลุ่มเสี่ยงตามระยะที่ 2 จำนวน 85,000 คน
          โดยกระจายตรวจทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัด ภายใต้การกำหนดประชากรกลุ่มเสี่ยง และสถานที่เสี่ยงของคณะกรรมการโรคติดต่อ จังหวัด ดำเนินการสุ่มตรวจอย่างน้อย จังหวัดละ 400 คน ส่วนกรุงเทพฯดำเนินการ กว่า 15,000 คน ใช้การเก็บตัวอย่างจาก การขาดเสลด และตรวจโดยการรวมกลุ่มตัวอย่าง(Pool Sample) ด้วยวิธีการตรวจหา สารพันธุกรรม RT PCR ที่เป็นการตรวจมาตรฐาน
          "การตรวจเพื่อเฝ้าระวังเชิงรุกนี้ เป็นการค้นหาผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ ไม่ได้เป็น การตรวจเพื่อวินิจฉัยและรักษาโรค แต่เป็นการตรวจเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับ ประชาชน หากเจอผู้ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ ก็จะนำเข้าสู่การแยกกักและดูแล ซึ่งจาก ค่าเฉลี่ยเมื่อพบเชื้อแล้วจะตรวจไม่เจอเชื้อ อยู่ที่ 10 วัน แต่ขึ้นกับบุคคลด้วย เป็นการตัดวงจร การแพร่เชื้อ โดยจะดำเนินการให้ทันกับการเตรียมการผ่อนปรนกิจการสีเขียว ในระยะต่อไป"นพ.สุวรรณชัยกล่าว
          เล็งผ่อนปรนระยะสอง17พ.ค.
          ในส่วนของมาตรการผ่อนปรนในระยะที่ 2 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า2019 (โควิด-19)หรือศบค.แถลงถึงหลังการประชุมที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหมเป็นประธานว่า ที่ประชุม มีการพูดถึงช่วงเวลาในการผ่อนปรนมาตรการระยะ 2 ว่า ในวันที่ 8-12 พ.ค.จะเป็นช่วงรับฟัง ความเห็นดูชุดข้อมูลสถิติจากการประกาศ ผ่อนปรนระยะแรกเมื่อ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา
          นอกจากนี้วันที่ 13 พ.ค.จะซักซ้อม ทำความเข้าใจ14พ.ค.ยกร่างข้อกำหนด ผ่อนปรนระยะที่2 ก่อนเสนอนายกรัฐมนตรี และถ้าไม่มีตัวเลขผู้ติดเชื้ออะไรมากมาย วันที่ 17 พ.ค.จะเริ่มผ่อนปรนระยะที่ 2 ต่อไป
          จ่อคลายล็อกร้านวัสดุก่อสร้าง
          นพ.ทวีศิลป์ ยังกล่าวว่า นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย รายงานที่ประชุมว่า การสั่งปิดสถานดูแลผู้สูงอายุนั้นข้อเท็จจริงสถานดูแลฯมี 2 ประเภทคือ 1.สถานที่ดูแล ผู้ป่วยติดเตียง และ2.แบบไปกลับโดยได้มีการขอให้ปิดแบบไปกลับและจะได้ออกข้อกำหนดจากศบค.ต่อไปเพื่อประกาศใช้ทั่วประเทศ
          ส่วนร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ร้านเฟอร์นิเจอร์ และสินเชื่อประกันภัย ในห้างขณะนี้ชาวบ้านที่เผชิญกับพายุฤดูร้อนหลายพื้นที่มีความจำเป็นต้องใช้บริการซ่อมแซมบ้านเรือนซึ่งข้อสรุปนั้นได้เห็นชอบระดับหนึ่งโดยที่ประชุมได้มอบหมายนายวิษณุ  เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี  ไปพิจารณาข้อกฎหมายเพื่อ ผ่อนปรนมาตรการต่อไป
          ส่วนเรื่องการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมนั้น นายกฯได้ระบุถึงแนวทางการฟื้นฟูด้านต่างๆที่ต้องดำเนินการ โดยขณะนี้ได้รับแผนจาก 20ผู้นำทางเศรษฐกิจของไทยแล้วมีรายละเอียด ที่ลงไปถึงระดับพื้นที่ซึ่งนายกฯจะใช้เป็นแนวทางประกอบกับนโยบายภาครัฐในการฟื้นฟูประเทศต่อไป
          "ทรัมป์"ครวญสหรัฐเสียหายหนักสุด
          ประธานาธิบดีทรัมป์วิจารณ์จีนไม่เลิก ชี้การระบาดของไวรัสโคโรนาสร้างความเสียหาย ให้สหรัฐมากกว่าเหตุการณ์เพิร์ลฮาร์เบอร์และ 9/11 โดยประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวเมื่อวันพุธ (6 พ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นที่ทำเนียบขาวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสร้างความเสียหายให้กับสหรัฐหนักยิ่งกว่าญี่ปุ่นถล่มฐานทัพสหรัฐในเพิร์ลฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2484 หรือตอนที่กลุ่มอัลกออิดะห์โจมตีนิวยอร์ก และวอชิงตัน เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2544
          "นี่เป็นการโจมตีรุนแรงที่สุดเท่าที่เรา เคยเจอ แย่ยิ่งกว่าเพิร์ลฮาร์เบอร์ ยิ่งกว่า เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ มันไม่ควรเกิดขึ้นเลย ควรหยุดได้ตั้งแต่ต้นทาง หยุดได้ตั้งแต่ในจีน" ผู้นำสหรัฐกล่าว
          ส่วนข้อมูลการแพร่ระบาดจาก มหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ เมื่อเวลา 11.32 น. วานนี้ตามเวลาประเทศไทย ผู้ติดเชื้อทั่วโลกกว่า 3.75 ล้านคน เสียชีวิตอย่างน้อย 263,000 คน ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด ได้แก่ สหรัฐ 1,228,603 คน สเปน 220,325 คน อิตาลี 214,457 คน สหราชอาณาจักร 202,356 คน ฝรั่งเศส 174,224 คน


pageview  1204954    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved