|
|
|
กรุงเทพธุรกิจ [ วันที่ 13/05/2562 ] |
|
|
|
|
แพทย์เตือน4กลุ่มเสี่ยงห้ามใช้ย้ำเด็กต่ำกว่า18ปีกระทบสมอง |
|
|
|
|
กรุงเทพธุรกิจ กรมการแพทย์ย้ำ"กัญชา"ไม่ควรเป็นทางเลือกแรกรักษาผู้ป่วย แนะห้ามใช้กับ "4 กลุ่มเสี่ยง" เตือนเด็กต่ำกว่า 18 ปี อาจส่งผลต่อสมองที่กำลังพัฒนาได้ ขณะ อย.กำชับสั่งใช้ในสถานพยาบาล ที่ได้รับอนุญาต มีแพทย์-เภสัชฯ ขึ้นทะเบียนทั้งคู่เท่านั้น
แม้การใช้กัญชาเพื่อการแพทย์จะเป็น ที่ยอมรับมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญในการใช้จะต้องไม่ใช้กัญชาเป็นทางเลือกแรกในการรักษา โรคให้กับผู้ป่วย แต่ผู้ป่วยจะต้องผ่านการรักษา ตามแนวทางที่เป็นมาตรฐานมาก่อนแล้วไม่ได้ผล และแพทย์จะต้องอธิบายข้อดีและ ผลกระทบจากการใช้กัญชาให้ผู้ป่วยเข้าใจจนสามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้หรือไม่
ขณะเดียวกันการสั่งใช้กัญชาต้องทำในสถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตเท่านั้น โดยมีแพทย์และเภสัชกรที่ผ่านการอบรมใช้กัญชาทางการแพทย์ และขึ้นทะเบียนกับอย.ทั้งคู่ ในสถานพยาบาลที่มีเฉพาะแพทย์ หรือเฉพาะเภสัชกรที่ขึ้นทะเบียนเพียงวิชาชีพเดียวไม่สามารถสั่งใช้กัญชาได้
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรม การแพทย์ กล่าวว่า บุคลการทางการแพทย์ ที่เข้ารับการอบรมเป็นผู้ใช้กัญชาทางการแพทย์จะต้องพิจารณาในการที่จะสั่งใช้ให้กับ ผู้ป่วยมี 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.ปลอดภัย (Safety) สารสกัดจากกัญชาปลอดภัยจากสารพาเจือปน และมีความเสี่ยงเกิดอันตรายต่ำเมื่อใช้รักษาผู้ป่วย 2.มีประสิทธิผลในการรักษา และ3.มีความเป็นธรรมในการเข้าถึงการรักษา ผู้ป่วยเข้าถึงสารสกัดจากกัญชาอย่างเท่าเทียม ไม่เอื้อประโยชน์ให้ ผู้ใด หรือกลุ่มใดเป็นพิเศษ
ทั้งนี้ ประโยชน์ของสารสกัดจากกัญชาทางการแพทย์ แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มโรค /ภาวะที่ได้ประโยชน์ มีผลการศึกษาวิจัยสนับสนุนชัดเจนมี 4 โรค ได้แก่ โรคลมชักที่รักษายาก และโรคลมชักดื้อต่อยารักษา ภาวะคลื่นไส้และอาเจียนจากยาเคมีบำบัดที่รักษาด้วยวิธีมาตรฐานไม่ได้ผล ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง ในผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง และภาวะปอดประสาทที่รักษาด้วยวิธีอื่นๆไม่ได้ผล
2.กลุ่มโรค ภาวะที่สารสกัดจากกัญชาน่าจะมีประโยชน์ในการควบคุมอาการของโรค ควรมีข้อมูลทางวิชาการสนับสนุน วิจัยเพิ่มเติมในประเด็นความปลอดภัย และประสิทธิผล เพื่อสนับสนุนการนำไปใช้ คือ โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ โรคปลอกประสาทอักเสบ โรควิตกกังวล ผู้ป่วยที่ต้อง ดูแลแบบประคับประคอง และผู้ป่วย มะเร็งระยะสุดท้าย และ3.กลุ่มโรค ภาวะที่อาจจะได้ประโยชน์ในอนาคต ซึ่งจะต้องมีการศึกษาวิจัย
เตือนกลุ่มเสี่ยงเลี่ยงใช้กัญชา
ทั้งนี้ ในคู่มือคำแนะนำการใช้กัญชาทางการแพทย์ จัดทำโดยกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ข้อห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารทีเอชซีเป็นส่วนประกอบ 1.ผู้ที่มีประวัติแพ้ผลิตภัณฑ์ที่ได้จาการสกัดกัญชา ซึ่งอาจจะเกิดจากส่วนประกอบอื่นๆ หรือสารที่เป็นตัวทำละลายที่ใช้ในการผลิต 2.ผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือมีปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ
3.ผู้ที่เป็นโรคจิตมาก่อนหรือมีอาการของ โรคอารมณ์แปรปรวน หรือโรควิตกกังวล และ4.หลีกเลี่ยงการใช้ในสตรีมีครรภ์ สตรีที่ให้นมบุตร รวมถึงสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่ ไม่ได้คุมกำเนิดหรือสตรีที่วางแผนจะตั้งครรภ์ เนื่องจากมีรายงานการศึกษาพบว่ามีทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักตัวน้อย รวมถึง พบสารซีบีดีในน้ำนมแม่ได้
นอกจากนี้ ยังระบุถึงข้อควรระวังอื่นๆว่า 1.การสั่งใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาที่มีทีเอชซี เป็นส่วนประกอบในผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นส่งผลต่อสมองที่กำลังพัฒนาได้ 2.ผู้ที่เป็นโรคตับ 3. ผู้ป่วยที่ติดสารเสพติด รวมถึง นิโคตินหรือเป็นผู้ดื่มสุราอย่างหนัก 4.ผู้ใช้ยาอื่นๆ โดยเฉพาะยากลุ่มโอปิออยด์(opioids) และยากล่อมประสาท และ5.ผู้ป่วยเด็กและผู้ป่วยสูงอายุ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการมากเพียงพอใน 2 กลุ่มนี้ กระบวนการ เผาผลาญอาหารของผู้สูงอายุจะช้ากว่า จึง ดูเหมือนว่ามีการตอบสนองต่อกัญชาได้ สูงกว่า ดังนั้นการใช้ จึงควรเริ่มต้นในปริมาณที่น้อยและปรับเพิ่มขึ้นช้าๆ
อย.แจงขั้นตอนนำกัญชามาใช้
ภญ.ขนิษฐา ตันติศิรินทร์ ผู้อำนวยการกองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กล่าวว่าขั้นตอนการนำผลิตภัณฑ์กัญชามาใช้ทาง การแพทย์นั้น 1. ผู้ป่วยที่มีข้อบ่งใช้ ที่ขึ้นทะเบียนผู้รับการรักษา ทราบผลดี/ผลเสียของ การรักษา ตัดสินใจรักษาด้วยความสมัครใจ และยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร
2.คัดกรอง ประเมินความเสี่ยงโดยแพทย์ ที่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม เป็นผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะทาง หรือแพทย์ที่ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญตามข้อบ่งใช้ ผ่านการอบรมการใช้กัญชาทางการแพทย์ ขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตเป็นผู้สั่งใช้
3.การสั่งใช้ผลิตภัณฑ์กัญชา เริ่มขนาดต่ำและเพิ่มปริมาณทีละน้อย บันทึกการสั่งใช้ โดยละเอียด จ่ายโดยเภสัชกรที่ผ่านการอบรม การใช้กัญชาทางการแพทย์และขึ้นทะเบียน
4.การกำกับ ติดตามการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชา มีการติดตามผลและผลข้างเคียงอย่างใกล้ชิด และเฝ้าระวังการนำไปใช้ในทางที่ผิด
การเข้าถึงยาของผู้ป่วย สามารถดำเนินการใน 3 รูปแบบ คือ 1.การรักษาปกติจะเป็น ตำรับยาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับ แพทย์สั่งจ่ายให้แก่ผู้ป่วยที่สถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต และรายงานการรับ-จ่ายเสนอต่ออย. มีการติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา 2.การศึกษาวิจัยในส่วนของผลิตภัณฑ์กัญชา โครงการวิจัยต้องขึ้นทะเบียนการใช้กัญชา จัดทำทะเบียนอาสาสมัครที่เข้าร่วมโครงการ ดำเนินการศึกษาภายใต้โครงการศึกษาวิจัยที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการจริยธรรมและอย. ส่วนแพทย์/ ผู้วิจัยจ่ายให้แก่อาสาสมัครในโครงการวิจัย ต้องมีการติดตามและรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา และรายงานการรับ-จ่ายเสนอต่ออย.
และ 3.การรักษากรณีจำเป็นสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย(ช่องทางพิเศษ) แพทย์ ผู้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาลที่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน และได้รับใบอนุญาตจำหน่าย แจ้งความประสงค์ขอใช้กัญชาสำหรับผู้ป่วย เฉพาะรายต่ออย. แพทย์สั่งจ่ายให้กับผู้ป่วยที่สถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต ติดตามและประเมินประสิทธิผล ความปลอดภัย คุณภาพผลิตภัณฑ์และอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้กัญชาและรายงานการรับ-จ่ายเสนอ ต่ออย. ทั้งนี้ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยหรือผู้ดูแลผู้ป่วยในการใช้กัญชาเป็นลายลักษณ์อักษร
ย้ำกัญชาไม่สามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด
ขณะที่นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิ ข้าวขวัญหมอพื้นบ้าน กล่าวว่า การใช้น้ำมันกัญชาสูตรของเขาเน้นใช้ปริมาณน้อยเจือจางให้มากที่สุด โดยผสมน้ำมันกัญชาเพียง 3% ที่เหลือเป็นน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นเท่านั้น และใช้ในปริมาณที่ทำให้หลับ ห้ามเมาเด็ดขาด ถึงจะได้ผล เพราะในขณะที่ร่างกายนอนหลับ จะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายได้เอง น้ำมันกัญชาไม่ได้สามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด แต่สามารถใช้เพื่อทำให้นอนหลับและฟื้นฟูร่างกายได้ แต่โรคที่รักษาได้และทดลองได้ผลมากับตัวเองคือโรคต้อเนื้อ วุ้นในตาเสื่อม เป็นต้น |
| | |
|
| |
|
pageview 1204381 |
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO) ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th | | |
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved
|
| |