HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
โลกวันนี้ [ วันที่ 18/01/2556 ]
ลูกบกพร่องการเรียนรู้

 ดร.เพ็ญนี หล่อวัฒนพงษา
          mhmanarom@gmail.com
          คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตไหมว่าในแต่ละวันหลังเลิกเรียนเด็กๆใช้เวลาในการทำการบ้านนานเท่าไร เด็กบางคนอาจทำแป๊บเดียวก็เสร็จ บางคนทำการบ้านนาน หลายชั่วโมง หรือบางคนไม่ชอบทำการบ้านเลย เรื่อง แบบนี้อาจพบเห็นอยู่บ่อยๆ และมองว่าเป็นเรื่องปรกติ เพราะการบ้านบางวิชาอาจมียากง่ายสลับกันไป
          แต่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม เพราะการทำการบ้านเร็วหรือนานอาจบ่งบอกได้ว่าเด็กกำลังมีความบกพร่องในการเรียนรู้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเรียนและการพัฒนาทักษะทางสังคมของเด็กได้
          ความบกพร่องทางด้านการเรียนรู้เป็นความบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่งในกระบวนการทำงานของสมองในการรับ ตีความหรือสื่อสารข้อมูล ซึ่งสาเหตุของความบกพร่องทางด้านการเรียนรู้อาจเกิดจากความผิดปรกติของโครงสร้างและการทำงานของสมองความผิดปรกตินี้อาจเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลัง คลอด การได้รับบาดเจ็บอาจเป็นเพียงเล็กน้อย สมองและระบบประสาทส่วนกลางยังทำงานได้ดีเป็นส่วนมาก มีบางส่วนเท่านั้นบกพร่องไปบ้าง ทำให้สมอง มีปัญหาในการรับข้อมูล ตีความ หรือสื่อข้อมูล เมื่อการทำงานของสมองบก พร่องในเรื่องการตีความ เด็กอ่านแล้วไม่เข้าใจ หรือเมื่อการทำงานของสมองบกพร่องในเรื่องการลำดับความ เมื่อเวลาสื่อออกมาเป็นประโยค คำพูดอาจจะไม่เชื่อมโยงและไม่ต่อเนื่อง
          ความบกพร่องในการเรียนรู้บางอย่างสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาในการอ่าน การเขียน และความเข้าใจ สภาพแวด ล้อมก็เป็นองค์ประกอบที่สำ คัญ ตลอดจนการเรียนการสอน ที่ไม่มีประสิทธิภาพ แม้ว่าองค์ประกอบเหล่านี้จะไม่ใช่สาเหตุที่ก่อให้เกิดความบกพร่องในการเรียนรู้โดยตรง แต่องค์ประกอบเหล่านี้อาจทำให้สภาพ ความบกพร่องเลวร้ายลง
          เด็กที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเท่ากับหรือฉลาดกว่าเด็กปรกติทั่วไป แต่เด็กเหล่านี้มีปัญหาในการเรียน ทำให้มีผลการเรียนต่ำกว่าเด็กอื่นๆในวัยเดียวกัน ความบกพร่องในการเรียนรู้มีหลายประเภท แต่ปัญหาด้านการอ่านเป็นความบกพร่องที่พบได้บ่อยที่สุด การที่ผู้ปกครองบางคนเร่งให้เด็กฝึกอ่านและเขียน ถ้าเป็นเด็กที่มีความพร้อมก็จะไปได้เร็ว แต่เด็กที่ไม่มีความพร้อมทางพัฒ นาการของสมอง หากเร่งมากอาจจะส่งผลเสียต่อเด็ก ทำให้เด็กมีสติปัญญาปานกลางหรือถดถอยด้วยซ้ำ
          ความบกพร่องทางการเรียนรู้มีหลายประเภท เด็ก แอลดีบางคนมีภาษาพูดที่มีรูปแบบไม่สมบูรณ์เหมือนเด็กทั่วไป มีความยากลำบากในการแสดงความคิดหรือความรู้สึกของตนเองไม่สามารถทำตามคำสั่งหรือเข้าใจคำถาม บางคนมีความยากลำบากในการอ่านภาษากายภาษาท่าทางบางคน มีปัญหาทางคำนวณไม่เข้าใจความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์
          เด็กที่เป็นแอลดี นอกจากพ่อแม่ที่ต้องเข้าใจเด็กแล้ว ครูและโรงเรียนถือเป็นคนสำคัญเช่นกันที่จะต้องเข้าใจและสามารถช่วยให้เด็กมีพัฒนา การที่ดีขึ้นได้ ซึ่งข้อแนะนำมีอยู่ 3 ข้อหลักๆดังนี้
          1.ผู้ปกครอง ควรพยา ยามช่วยให้เด็กรู้สึกว่าตนมีความ สามารถ เป็นที่รักของคนที่บ้าน ทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ดังนั้น พ่อแม่ควรมีเวลาให้กับลูก หมั่นสังเกตพฤติกรรมการทำการบ้าน การเรียน การอ่าน การพูดจาของลูก ว่าสื่อสารกัน ติดต่อกันได้ดีไหม มีพัฒนาการ ทักษะที่เหมาะกับวัยของตนหรือไม่
          2.ครู ควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความบกพร่องทางด้านการเรียนเพื่อที่จะสอนเด็กได้ สอนให้เด็กรู้ว่าศักยภาพด้านสติปัญญาของตัวเองไม่ได้ด้อย อาจจะเก่งกว่าเด็กธรรม ดาด้วยซ้ำ การทำงานกับเด็กที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้คงไม่ใช้คำว่าแก้ปัญหา แต่ต้องเข้าใจปัญหาและรับมือกับมันให้ได้ จุดที่บกพร่องบางอย่างแก้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่อวัยวะที่บกพร่อง แต่เป็นวิธีการทำงานของสมองที่ไม่สม่ำเสมอ คล้ายกับคลื่นวิทยุที่ไม่นิ่ง
          3.โรงเรียน จะต้องสนับ สนุนการเรียนของเด็กให้เกิดการบูรณาการ เพราะปัญหา ชีวิตไม่ได้แก้ไขที่ด้านใดด้านหนึ่ง ต้องดูหลายด้าน ดังนั้น การเรียนที่ดีต้องมีความสอดคล้องทั้งรายวิชา และผู้สอนกับผู้เรียน โดยแต่ละรายวิชาต้องส่งเสริมกัน เมื่อเด็กเรียนไปแล้วสามารถสร้างความรู้ต่อได้ หากไม่สอดคล้องกันเด็กจะเรียนไม่ได้ เพราะในการบำบัดรักษาเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนจะต้องยึดหลักวิธีการสอนของครู วิชาที่สอน และการเรียนของเด็กที่เอื้อผลกันมากที่สุด ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือเด็กเหล่านี้ได้
          ความรู้ความเข้าใจถือเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลรักษาและบำบัดเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนและพัฒ นาการ เพราะหากพ่อแม่และครูไม่เข้าใจเด็กแล้วอาจทำให้การให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างล่าช้า เด็กที่มีความบก พร่องในการเรียนรู้แต่ละคนจะมีลักษณะจำเพาะบุคคล การบำบัดความบกพร่องในการเรียน รู้จึงต้องเป็นแผนดำเนินการที่สร้างขึ้นมาเฉพาะบุคคล โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์พ่อ-แม่ลูกและลักษณะจำเพาะของครอบครัวเป็นสำคัญ ยิ่งพ่อแม่และครูไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องจิตวิทยาและลักษณะของความบกพร่องทางการเรียนรู้แล้วย่อมทำให้เป็นเรื่องยากที่เด็กจะดีขึ้นได้


pageview  1205500    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved