HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
บ้านเมือง [ วันที่ 06/02/2555 ]
เหนื่อยง่าย ใจสั่น เจ็บหน้าอก เตือนภาวะ'หัวใจเต้นผิดจังหวะ'
          "หัวใจเต้นผิดจังหวะ" คือโรคหัวใจชนิดหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจซึ่งทำให้ระบบการบีบตัวสูบฉีดเลือดเพื่อนำไปเลี้ยงส่วนอื่นๆ ในร่างกายไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติ และเมื่อบางส่วนของร่างกายได้รับเลือดไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่างๆ ตั้งแต่เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืดจนถึงขั้นหมดสติ หรือเสียชีวิต
          "น.พ.โชติกร คุณวัฒน์"อายุรแพทย์โรคหัวใจ รพ.บำรุงราษฎร์ให้คำอธิบายถึงภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะไว้ว่า "หัวใจก็เหมือนกับบ้าน คือมีคลื่นไฟฟ้าที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้หัวใจเต้นเป็นปกติ และสามารถบีบตัวสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ มีระบบหลอดเลือดคอยหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เปรียบได้กับระบบไฟฟ้าและประปา เมื่อระบบไฟฟ้าของหัวใจทำงานผิดปกติ จึงเกิดผลกระทบโดยตรงต่อ จังหวะการเต้นของหัวใจที่เรียกว่า โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ การที่หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นหรือเต้นช้าลงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมดำเนินชีวิต ประวัติสุขภาพ และปัจจัยแวดล้อมของผู้ป่วยแต่ละคน
          "โดยปกติอัตราการเต้นของหัวใจในผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 60-100 ครั้ง/นาที บางคนอาจช้าหรือเร็วกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย นับเป็นการเต้นผิดจังหวะของหัวใจซึ่งไม่ก่อผลร้าย เนื่องจากอัตราการเต้นของหัวใจที่ 40-60 ครั้งต่อนาที สามารถเกิดกับกลุ่มนักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายประจำหรือผู้ป่วยที่ทานยาบางชนิด แต่เมื่อใดที่ร่างกายแสดงออกถึงอาการบางอย่าง เช่น หน้ามืด เป็นลม หรือหมดสติ นั่นหมายถึงหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้เพียงพอ เป็นสัญญาณเตือนว่าผู้ป่วยควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
          "เราแบ่งโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ และหัวใจเต้นช้ากว่าปกติ แต่เต้นช้าหรือเร็วยังจำแนกได้อีก เราต้องเข้าใจก่อนว่าแหล่งควบคุมการเต้นของหัวใจแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือตำแหน่งที่อยู่ที่หัวใจส่วนบนซึ่งทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดคลื่นไฟฟ้า และอีกส่วนหนึ่งที่เป็นทางเชื่อมระหว่างหัวใจห้องบนกับห้องล่างซึ่งทำหน้าที่ให้หัวใจห้องข้างบนและห้องข้างล่างทำงานสัมพันธ์กัน
          "ทีนี้หากแหล่งกำเนิดคลื่นไฟฟ้าทำงานผิดปกติ หัวใจก็จะเต้นช้าลงจนเหลืออัตรา 20-30 ครั้งต่อนาที บางครั้งอาจหยุดเต้นไปชั่วคราวสัก 5 หรือ 10 วินาที ซึ่งอาจทำให้คนไข้หน้ามืดหรือหมดสติได้ หรือเมื่อหัวใจห้องข้างบนกับห้องข้างล่างเกิดทำงานไม่สัมพันธ์กัน หัวใจก็จะเต้นช้าลงจนผิดปกติได้เช่นกัน
          "สำหรับอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ต้องดูว่าเกิดที่บริเวณหัวใจห้องข้างบนหรือข้างล่าง ถ้าเป็นที่หัวใจห้องบนก็ไม่เป็นอันตรายมากนัก ยกเว้นถ้าเต้นเร็วแล้วผิดจังหวะเรียกว่า หัวใจเต้นพลิ้ว ผู้ป่วยอาจจะมีอาการใจสั่น และอาจเกิดลิ่มเลือดในหัวใจซึ่งนำไปสู่การเป็นอัมพาตหรืออัม พฤกษ์ได้ ส่วนการเต้นเร็วผิดปกติที่เกิดบริเวณหัวใจห้องข้างล่างซึ่งทำหน้าที่สูบฉีดไปเลี้ยงร่างกายโดยตรง จะทำให้หัวใจเกิดการบีบตัวเร็วมากจนอ่อนแรงลงและหยุดเต้นไปได้ ซึ่งส่งผลรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้"
          การตรวจวินิจฉัย  "การตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะแพทย์ต้องสืบประวัติโดยละเอียด เนื่องจากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ดื่มกาแฟ ชา หรือน้ำอัดลม ต่างมีผลให้จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติได้ ส่วนผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน ความดัน เบาหวาน หรือมีปัญหาที่ต่อมไทรอยด์ ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ควรได้รับการตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
          "ปัจจุบันมีการตรวจหาความผิดปกติของการเต้นของหัวใจได้หลายวิธี ตั้งแต่การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ที่เรียกว่า EKG ในขณะที่มีอาการ หรือถ้าผู้ป่วยมีอาการบ่อยแต่ไม่ได้เป็นตลอดเวลาแพทย์จะติดเครื่องบันทึกคลื่นหัวใจไว้ที่ตัวผู้ป่วยเป็นเวลา 24 หรือ 48 ชั่วโมง แล้วนำผลที่ได้มาประเมินหาความผิดปกติในภายหลัง
          "ถ้าผู้ป่วยมีอาการนานๆ ครั้งแพทย์สามารถให้ผู้ป่วยพกเครื่องบันทึกหัวใจแบบไร้สายซึ่งสามารถพกได้เป็นเวลาหลายอาทิตย์ เมื่อมีอาการผู้ป่วยสามารถเอาเครื่องมาแนบที่หน้าอกและบันทึกการทำงานได้ ส่วนการตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะที่ผู้ป่วยออกกำลังกาย (EST) หรือการตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram) ก็เป็นการตรวจเพื่อช่วยให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยที่ถูกต้องได้"
          การรักษาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ  "ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะสามารถรักษาได้หลายวิธี วิธีที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมที่สุดในการรักษาอาการหัวใจเต้นช้าผิดปกติที่ไม่ได้เกิดจากยา คือ การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) ซึ่งเปรียบเสมือนแบตเตอรี่เทียมที่จะเข้าไปทำหน้าที่กระตุ้นและควบคุม จังหวะการเต้นของหัวใจในตัวของผู้ป่วย
          "แพทย์จะฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจที่บริเวณก่อนถึงกล้ามเนื้อหน้าอกใต้กระดูกไหปลาร้า โดยการผ่าตัดเปิดขนาดประมาณ 3 เซนติเมตร จากนั้นจึงสอดสายสื่อผ่านเข้าไปในหัวใจคราวละ 1 หรือ 2 สาย โดยขึ้นกับลักษณะอาการของผู้ป่วย เครื่องกระตุ้นหัวใจจะเป็นทั้งแหล่งกำเนิดคลื่นไฟฟ้า และคอยกระตุ้นให้จังหวะการเต้นของหัวใจที่ช้ากว่าปกติกลับมาเต้นในอัตราปกติได้
          "ส่วนการรักษาอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ขึ้นกับตำแหน่งห้องของหัวใจที่ผิดปกติ เช่น หากเกิดความผิดปกติจากห้องข้างบน ส่วนใหญ่แพทย์จะให้ยาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการหัวใจเต้นเร็ว จะทำให้ลดอัตราการเต้นให้ช้าลง การรักษาจะเริ่มจากวิธีพื้นฐานไปถึงวิธีที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เช่น หากผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้นจากการทานยาหรือทานยาแล้วมีผลข้างเคียงของยา วิธีการจี้ไฟฟ้าก็เป็นการรักษาอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ โดยเจาะเข้าไปบริเวณเส้นเลือดหน้าขาแล้วใส่สายเข้าไปในหัวใจเพื่อตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ใช้คลื่นไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ และใช้คลื่นไฟฟ้าความถี่สูงสร้างความร้อนและชี้ตำแหน่งที่ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ เพื่อทำให้หัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง
          "แต่ถ้าเป็นความผิดปกติจากหัวใจห้องล่างซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญ การรักษาอาจจะเริ่มจากยา หรือการจี้ไฟฟ้า ผู้ป่วยบางกรณีอาจจำเป็นต้องได้รับการฝังเครื่องช็อกไฟฟ้า โดยผ่าตัดเปิดแผลขนาดเล็กในลักษณะเดียวกันกับการใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ เครื่องช็อกไฟฟ้าจะช่วยได้มากในคนที่หัวใจอ่อนแรงมาก ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะหัวใจเต้นผิดปกติและหยุดเต้นเฉียบพลันได้ อย่างที่เราเคยได้ยินว่าผู้ป่วยบางคนมีอาการหัวใจวายขณะนอนหลับ หรือออกกำลังกาย
          "ทุกวันนี้มีวิทยาการในการรักษาผู้ป่วยที่ดีขึ้น เทคนิคการรักษาก็ยังได้รับการพัฒนาต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น ในผู้ป่วยหัวใจห้องล่าง ที่นอกจากจะใส่เครื่องช็อกหัวใจไว้แล้ว ตอนนี้ก็มีการเพิ่มสายที่สอดเข้าไปอีกสายหนึ่งเพื่อช่วยเรื่องการบีบตัวของหัวใจ ซึ่งช่วยได้มากในผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจอ่อนแรง และพวกที่มีอาการน้ำท่วมปอดที่ปกติจะเหนื่อยง่ายรักษาด้วยยาแล้วไม่ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้สามารถเดินหรือออกแรงได้มากขึ้น รู้สึกดีขึ้น ไม่ต้องมาโรงพยาบาลบ่อยๆ อีก"
          น.พ.โชติกร กล่าวปิดท้าย

pageview  1205145    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved