HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
บ้านเมือง [ วันที่ 12/09/2555 ]
ยาต้านไวรัส ARV... เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีผู้ป่วยเอดส์

 สธ.มั่นใจการให้ยาต้านไวรัส ARV ภายใต้ "โครงการการเข้าถึงบริการยาต้านไวรัสเอดส์ระดับชาติ" จะช่วยให้ผู้ป่วยเอดส์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถยับยั้งการแพร่กระจายของโรคได้ สำหรับประเทศไทย การต่อสู้กับปัญหาโรคเอดส์ต้องใช้เวลากว่า 28 ปี ทำให้แนวโน้มของผู้ป่วยเอดส์และผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ลดลงกว่าในอดีตที่ผ่านมา ปัจจุบันประเทศไทยยังให้การรักษาผู้ป่วยเอดส์ด้วยยาต้านไวรัส ทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากรายงานล่าสุดในปี 2554 ประเทศไทยมียอดผู้ติดเชื้อเอดส์สะสม 1,148,117 คน ยังมีชีวิต 481,770 คน และคาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10,097 คน
          นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ถึงแม้ที่ผ่านมาประเทศไทยจะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากเอดส์ลงได้ แต่เนื่องจากสภาพวิถีชีวิตและความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในปัจจุบันทำให้ยังมีประชากรบางกลุ่มที่มีแนวโน้มการติดเชื้อ HIV ในอัตราสูงขึ้น ได้แก่ 1.กลุ่มเยาวชน ที่มักมีคู่เพศสัมพันธ์หลายคน 2.พนักงานบริการหญิง 3.กลุ่มชายรักชาย 4.ผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด 5.กลุ่มแรงงานต่างด้าว โดยพบว่าสาเหตุหลักของการติดเชื้อ HIV กว่าร้อยละ 80 เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อเอดส์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน
          อีกทั้งยังมีหลายปัจจัยที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลดจำนวนผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ HIV ในประเทศไทย เช่น การไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ HIV พฤติกรรมสุขภาพและการดูแลสุขภาพยาต้านไวรัสราคาแพง ความยากจนที่ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงได้ รวมทั้งสิทธิ์ในการเข้าถึงบริการรักษาที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติที่ไม่ได้อยู่ในการคุ้มครองของหลักประกันทุกระบบ สภาพของสถานประกอบการที่แออัดเอื้อต่อการแพร่กระจายเชื้อ และปัญหาเชื้อดื้อยา รวมทั้งปัญหาการอพยพเคลื่อนย้ายแรงงาน ในสภาวะที่ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ฯลฯ ซึ่งการติดเชื้อ HIV ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โอกาสป่วยด้วยโรคฉวยโอกาสเช่นวัณโรคจะรวดเร็วและรุนแรงมากกว่าผู้ไม่ติดเชื้อ HIV
          เพื่อให้ผู้ติดเชื้อ HIV ทุกคนได้รับความคุ้มครองทางสังคมและเข้าถึงบริการ ทั้งการป้องกันและดูแลรักษาด้วยยาต้านไวรัสที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ส่งเสริมให้ผู้ติดเชื้อ HIV ได้ทราบว่าตนเองติดเชื้อ การดูแลตัวเองเมื่อรู้ว่าติดเชื้อตั้งแต่ยังไม่มีอาการ ให้สามารถเริ่มรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอดส์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยไม่มีการตีตราและเลือกปฏิบัติ กระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้กรมควบคุมโรค โดยสำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จัดทำ  "โครงการการเข้าถึงบริการยาต้านไวรัสเอดส์ระดับชาติ" ขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ติดเชื้อไม่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีชีวิตเป็นปกติ อยู่ได้เป็นเวลานาน สามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้ได้ 2 ใน 3 ของปี 2554 และภายในปี 2559 ต้องสามารถลดผู้ติดเชื้อลงให้เหลือไม่เกิน 6,731 ราย ลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากวัณโรคให้ได้ ร้อยละ 50 และให้ผู้ติดเชื้อสามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80
          ด้าน ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV นับว่าดีกว่าสมัยก่อน โดยเฉพาะในยุคก่อนปี 2540 ในขณะนั้นผู้ป่วยเอดส์ในประเทศไทยจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสเอดส์ได้ เนื่องจากราคายาแพงมาก เพื่อให้ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอดส์ให้สามารถเข้าถึงยาและได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมเพิ่มขึ้น รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณมาซื้อยาต้านไวรัสเอดส์ โดยยาที่ไทยใช้ก็คือยา ARV (อ่านว่า เอ-อาร์-วี) ย่อมาจาก (Antiretroviral) หรือบางคนเรียกสั้นๆ ว่า "ยาต้าน" เพราะเป็นยาที่ทางการแพทย์ทั่วโลกรับรองว่าใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์ได้ ซึ่งมีทั้งการซื้อหามาจากต่างประเทศและจากองค์การเภสัชกรรมในประเทศไทย ยาพวกนี้สามารถเข้าไปช่วยยับยั้งการแพร่พันธุ์ ทำให้เชื้อไวรัสเอดส์ลดน้อยลงได้ และช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว หรือช่วยให้ภูมิต้านทานของร่างกายไม่ถูกทำลาย ผู้ป่วยเอดส์จึงสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น สามารถทำงานได้ตามปกติ โดยเป้าหมายของการรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศไทยก็คือ 1.ให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีชีวิตยืนยาวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 2.ลดอุบัติการณ์ของการติดเชื้อเอดส์3.ให้ผู้ที่ได้รับยาต้านเอดส์มีปริมาณไวรัส HIV น้อยที่สุด จนตรวจไม่พบ (Undetectable viral load) และ CD4 สูงที่สุด นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 4.ป้องกันเชื้อ HIV ไม่ให้เกิดการดื้อยา และ 5.สำรองยา หรือสูตรยาอันจะเป็นทางเลือกในอนาคตหากเกิดกรณีเชื้อดื้อยา ซึ่งขณะนี้มีผู้ป่วยเอดส์ประมาณ 157,000 คน ที่ต้องได้กินยาต้านไวรัสเอดส์ (ARV) นอกจากผู้ป่วยที่มีปริมาณเม็ดเลือดขาว หรือ CD4 ต่ำกว่า 200 เซล/ลบ.มม.แล้วผู้ป่วยที่มี CD4 ต่ำกว่า 350เซล/ลบ.มม. ก็ควรจะต้องได้กินยาต้านไวรัสเช่นกัน เพราะการรักษาด้วยการให้ยาต้านไวรัส เป็นวิธีการที่คุ้มค่า และช่วยให้ผู้ป่วยเอดส์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคเอดส์ให้ลดน้อยลงได้
          ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า การรักษาด้วย "ยาต้านไวรัสเอดส์" จะให้ผลดีที่สุด ผู้ป่วยต้องมีวินัยในการกินยาอย่างเคร่งครัด เพราะปัญหาที่พบคือผู้ป่วยลืมกินยา ซึ่งหากผู้ป่วยที่ได้รับยาแล้วปฏิบัติตนเองอย่างเคร่งครัดก็จะทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานมากขึ้น ซึ่งยาต้านไวรัสเอดส์ต้องกินตลอดชีวิตและต้องกินตรงเวลาทุกวัน ห้ามขาด ห้ามช้า เพราะถ้าลืมกินอาจดื้อยาได้ ทำให้ค่ายาที่อยู่ในราคา 2,000-3,000 บาทต่อเดือนเพิ่มขึ้น เพราะต้องเปลี่ยนไปกินยาที่มีราคาแพงขึ้น และส่งผลเสียทำให้ดื้อยาซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน อาจทำให้เสียชีวิตได้ ที่สำคัญคือเป็นการป้องกันการแพร่กระจายโรคสู่ผู้อื่น จึงพยายามให้คนที่กินยาอยู่แล้วมีวินัยอย่างมาก
          แม้ในวันนี้เราจะมียาต้านไวรัสเอดส์ที่ช่วยยืดอายุการรักษา และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างยืนยาวมากขึ้น แต่จะให้ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เป็นเอดส์ ด้วยการตระหนักและเข้าใจถึงพิษภัยของโรคดังกล่าวและรู้จักป้องกันตนเอง โดยเฉพาะค่านิยมการไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การเปลี่ยนคู่นอน เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเอดส์ได้ทั้งสิ้น หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข โทร.1422 และศูนย์ปฏิบัติการกรมควบคุมโรค โทร.0-2590-3333
 


pageview  1205893    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved