ใครๆ ก็อยากพบกับความสุข ไม่ว่า คุณจะเป็น คนผิว สีอะไร และพูดภาษาต่างกันอย่างไรดังจะเห็นได้จากที่ องค์การ สหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ได้มีการประกาศผลการจัดอันดับความสุขของคนทั่วโลกใน 156 ประเทศ พบว่า ประเทศที่ครองอันดับความสุขเป็น 3 อันดับแรก คือ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ และนอร์เวย์ ส่วนประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 52 เกณฑ์ประเมินของยูเอ็นเป็นไปในภาพรวมของสถานการณ์ด้านสุขภาพจิต วิถีชีวิต ศาสนา วัฒนธรรมและเครื่อง ยึดเหนี่ยวจิตใจที่แต่ละประเทศนับถือด้วย ในเวที "สานงาน เสริมพลัง ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่" จัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้มีการนำเสนอตัวอย่างการสร้างสุขแบบไร้ข้อเปรียบเทียบ มาแบ่งปันให้ชาวสยามอย่างถ้วนหน้า
          โดย นพ.ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิกรมสุขภาพจิต ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตเพื่อสุขภาวะสังคมไทย สสส. อธิบายด้วยเหตุผลเรียบง่ายว่า การสร้างสุขของคนไทยทำได้หลายกรณี ขณะที่การสร้างทุกข์ก็ทำได้หลายกรณีเช่นกัน แต่จะให้สุขได้ มันต้องคลายทุกข์ก่อน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ประชากรทั่วโลกประสบปัญหาใน การสร้างทุกข์ไม่ต่างกัน ก็คือ เรื่องความผิดหวัง ปัญหาหนี้สิน แต่ความกังวลเหล่านี้เกิดขึ้นในชาติตะวันตก ประชากรส่วนมากก็จะยอมรับต่อการเข้าพบจิตแพทย์ มากกว่าสังคมไทยที่มีประเพณี วัฒนธรรม หลายอย่างประกอบกับความอายและการไม่ยอมรับสภาพปัญหาที่มีความกังวลทางใจ จึงไม่ค่อยพบจิตแพทย์ เนื่องจากกลัวถูกมองว่า ป่วยทางจิต
          "สภาพการคลายเครียด ลดทุกข์ทางใจ และเพิ่มความสุขของคนไทย จึงไม่ใช่การมุ่งเป้าที่การพบแพทย์ แต่ต้องเน้นที่การสร้างสภาพแวดล้อมซึ่งมีความเอื้อเฟื้อ มีน้ำใจต่อกัน จึงจะช่วยให้คนไทยอยู่ได้อย่างมีสุข เพราะคนไทยเป็นสังคมเครือญาติ และใส่ใจครอบครัว ญาติมิตร เป็นส่วนมาก จึงไม่จำเป็นต้องไปพะวงกับการจัดอันดับใดๆ เลย เพราะคนทั่วโลกมีมุมมองการสร้างความสุขที่ต่างกัน" นพ.ประเวช กล่าว
          ในเวทียังมีการยกตัวอย่างการสร้างความเข้มแข็งของหัวใจด้วยความสุขอีกด้วย โดยนางกุนตี โตโพธิ์ไทยสำนักงานสาธารณสุข จ.นครปฐม กล่าวว่า จากการจัดอันดับการฆ่าตัวตายและพยายามฆ่าตัวตายในช่วงปี 2554 จ.นครปฐม ครองอันดับ 1 ของภาคกลางที่มีการฆ่าตัวตายสูง เนื่องจากเผชิญปัญหาการสูญเสียจากน้ำท่วม นำมาซึ่งปัญหาหนี้สิน ครอบครัวแตกแยก และสภาวะปัญหาความเครียดจากการทำงาน เมื่อมีน้ำใจจากคนในชุมชน เครือญาติ และแม้แต่คนไทยที่อยู่ต่างจังหวัด รัฐบาลและหลายภาคส่วนเข้ามา ช่วยเหลือไม่ทอดทิ้งกันทำให้ชุมชนที่น้ำท่วมหนักเริ่มกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง โดยไม่ต้องพึ่งยา พึ่งหมอ
          แน่นอนว่าสุขที่ถาวร ต้องไม่ใช่การช่วยเหลือกันและกันยามทุกข์เท่านั้น แต่การหาเวลามาพบปะ ทำบุญตามประเพณี เช่น สงกรานต์ปลอดเหล้า วันออกพรรษา งานวัด งานแต่ง งานขึ้นบ้านใหม่ งานบวช ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นกิจกรรมทางสังคมที่ชุมชนสามารถใช้เป็นโอกาสสร้างสุขร่วมกันได้ อย่างน้อยการมาเจอกันในวันสำคัญดังกล่าวทำให้คนในชุมชนรับรู้ว่า..มีคนเชื่อในวัฒนธรรมเดียวกัน จึงไม่มีใครโดดเดี่ยว ทำให้สังคมมีสีสันมากขึ้น
          เรื่องนี้ น.ส.อลิศา ปิตานุสรณ์ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการสร้างสุขภายในชุมชนเล็กๆ โดยไม่มีกรอบ และกฎเกณฑ์ใดๆ เพราะมีข้อพิสูจน์ยืนยันได้จากการที่ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ลงพื้นที่ฝึกอบรมอาสาสมัครหมู่บ้าน ฝึกให้เรียนรู้การทำงานร่วมกับชาวบ้านอย่างเข้าใจ สามารถสร้างความสุขจากความเข้าใจได้เป็นอย่างดี
          จากตัวอย่างที่ยกมาให้เห็นกันนี้ เป็นเพียงบางมุม ที่เกิดขึ้นจากเวทีเสวนา เรื่อง กินอยู่ให้เป็น เย็นใจ ในสังคมความเสี่ยงเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายร้อยพันความคิด ที่ช่วยสร้างสุขได้ ทุกคนรับรู้ได้เองว่า สิ่งนั้น คืออะไร และสร้างขึ้น อย่างไร
          ดังนั้น ใครก็ตามที่ต้องการให้ตัวเองมีความสุข จึงสามารถออกแบบชีวิตของตัวเองให้เกิดความสุขได้ตลอดเวลา...เพียงแค่คุณบอกตัวเองว่า "เราพร้อมหรือยัง" เหมือนดังที่คุณหมอประเวช บอกว่า "ทุกคนรับรู้และเข้าใจ พร้อมที่จะออกแบบความสุขของตนเองได้" นั่นเอง