|
|
|
หนังสือพิมพ์แนวหน้า [ วันที่ 30/09/2562 ] |
|
|
|
|
แพทย์มธ.เผยวิทยาการใหม่รักษาโรคหัวใจ ลดอัตราการเสียชีวิต |
|
|
|
|
จากสถิติกระทรวงสาธารณสุข (16 กันยายน 2561) พบว่ามีจำนวนคนไทยที่ป่วย ด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด 432,943 คน มีอัตราการเสียชีวิตถึง 20,855 คนต่อปี หรือชั่วโมงละ 2 คน และด้วยจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่มีจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาสถานการณ์ความแออัดของห้องฉุกเฉิน ซึ่งเป็นปัญหาด้านสาธารณสุข จากสถิติปี 2559 พบว่าในประเทศไทยมีสถิติผู้ป่วยที่เข้ารับบริการการรักษาในห้องฉุกเฉินอยู่ที่ 458 : 100,000 ประชากร และพบว่าเกือบร้อยละ 60 เป็นผู้ป่วยไม่ฉุกเฉิน การพบผู้ป่วย ที่ไม่ฉุกเฉินที่เข้ารับบริการในห้องฉุกเฉินเป็นจำนวนมาก ไม่ส่งผลดีต่อการปฏิบัติงานของบุคลากรในห้องฉุกเฉินเพื่อให้การรักษาและดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนมากกว่า ดังนั้น เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตของ ผู้ป่วยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน การพิจารณาคัดแยก (Triage) ว่าผู้ป่วยที่เข้ารับ การรักษาในห้องฉุกเฉินเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินที่แท้จริง หรือไม่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์พิสิษฐ หุตะยานนท์ อายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เผยว่า ผู้ป่วยโรคหัวใจที่เข้ารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มที่เข้ารับการตรวจแบบทั่วไป และกลุ่มที่เข้ารับการตรวจแบบฉุกเฉิน การตรวจวินิจฉัย ดูแล และรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจเหล่านี้ แพทย์จะอาศัยการตรวจสอบประวัติ ลักษณะอาการของผู้ป่วย ลักษณะของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และการพิจารณาว่ามีการเสื่อมสลายของกล้ามเนื้อหัวใจหรือไม่ โดยการเจาะเลือดเพื่อตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของระดับสารบ่งชี้ภาวะโรคหัวใจ ปัจจุบันจะเป็นการตรวจวัดสารบ่งชี้ภาวะโรคหัวใจแบบ high sensitivity cardiac troponin T ที่ให้ผลการ ตรวจวัดอย่างละเอียดและมีความแม่นยำ สามารถ นำมาใช้กับแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่สงสัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันแบบ 0 และ 1 ชั่วโมง (0h/1h algorithm) ซึ่งช่วยลดระยะเวลา ในการวินิจฉัยผู้ป่วยที่สงสัยภาวะโรคหลอดเลือด หัวใจเฉียบพลันที่ส่งผลให้เกิดลักษณะของ กล้ามเนื้อหัวใจตายดังกล่าว จากเดิมที่ต้องรอการแปลผลการเปลี่ยนแปลงของสารบ่งชี้โรคหัวใจ 3-6 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น ก็ลดลงเป็นที่ 1 ชั่วโมง
"แนวทางการรักษาดังกล่าวให้ประโยชน์อย่างน้อย 2 ประการ ประการแรกหากแพทย์สามารถให้การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะโรคซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูงหรือมีภาวะแทรกซ้อนสูง หรือไม่ภายในระยะเวลาที่สั้นลง จะส่งผลให้ แพทย์สามารถตัดสินใจเลือกวิธีการรักษา ที่เหมาะสมในขั้นตอนต่อไปได้เร็วขึ้น ในขณะเดียวกันหากผลการตรวจเลือดไม่พบการเปลี่ยนแปลงของ high sensitivity cardiac troponin T การตั้งสมมุติฐานที่ว่าผู้ป่วยอาจมีภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบนั้น อาจมีความเป็นไปได้น้อย แพทย์ก็จะสามารถมุ่งประเด็นสู่การหาสาเหตุอื่นที่สามารถอธิบายอาการของ ผู้ป่วยได้เร็วขึ้นเช่นกัน แทนที่จะต้องรออีก 2-3 ชั่วโมง ซึ่งแน่นอนว่าการวินิจฉัยที่รวดเร็วขึ้น ดังกล่าวจะสามารถบรรเทาความไม่สบายใจ การลังเลสงสัย และความกังวลของทั้งตัวผู้ป่วยเองและญาติของผู้ป่วย จากการรอฟังผลจากแพทย์ลงไปได้อย่างมาก
ประโยชน์ประการที่ 2 การที่ผู้ป่วยได้รับ การวินิจฉัยเร็วขึ้น และได้รับการส่งต่อไปยังตำแหน่ง ที่ควรได้รับการรักษาได้รวดเร็วขึ้น หรือได้รับ การพิจารณาให้สามารถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย แพทย์และบุคลากรในห้องฉุกเฉินจะมีเวลาในการดูแลผู้ป่วยหนักรายอื่นเพิ่มขึ้น ลดปัญหาความแออัดของห้องฉุกเฉินได้อย่างมาก และส่งผลดีต่อระบบการรักษาดูแลผู้ป่วยโดยรวม"
ด้าน รองศาสตราจารย์ นายแพทย์วินชนะ ศรีวิไลทนต์ แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาล ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า ปัญหาที่พบได้ในห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ก็คือการมีผู้ป่วยมารับการรักษาเป็นจำนวนมาก ผู้ป่วยต้องรอที่ห้องฉุกเฉินเพื่อรับการวินิจฉัย ดูแล และรักษา เป็นเวลานาน สาเหตุมักมาจาก จำนวนเตียงภายในหอผู้ป่วยที่ไม่เพียงพอต่อจำนวน ผู้ป่วย ปัญหานี้เราเรียกว่า Emergency Department Overcrowding ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บเค้นบริเวณหน้าอกถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการมีภาวะการตายของกล้ามเนื้อหัวใจ การได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วจึงมีความสำคัญมาก ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ที่ห้องฉุกเฉินโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจและต้องรอที่ห้องฉุกเฉินเป็นเวลานานนั้น มักพบผลลัพธ์ที่ไม่ดีในการรักษาเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่อยู่ในห้องฉุกเฉินภายในระยะเวลาที่สั้นกว่า
การตรวจวัดสารบ่งชี้ภาวะโรคหัวใจแบบ high sensitivity cardiac troponin Tที่มีความไวสูง สามารถช่วยแพทย์ตรวจพบความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจที่จะเกิดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย การ นำแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่สงสัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจ ขาดเลือดเฉียบพลันแบบ 0 และ 1 ชั่วโมง (0h/1h algorithm) มาปรับใช้สำหรับผู้ป่วยที่ สงสัยภาวะโรคหัวใจในห้องฉุกเฉินนั้น ส่งผลโดยตรง ต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย ลดอัตราการเสียชีวิต และลดปัญหาสถานการณ์ความแออัดภายใน ห้องฉุกเฉิน อันนำไปสู่ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ของแพทย์และเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินต่อไป |
| | |
|
| |