HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
ไทยโพสต์ [ วันที่ 16/05/2556 ]
'ไรฝุ่น'ต้นตอโรคภูมิแพ้ภัยใกล้ตัวใน'ห้องนอน'

 สภาพอากาศในปัจจุบันที่นับวันยิ่งมีมลพิษเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดเชื้อโรคขึ้นมากมาย โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากฝุ่นที่ลอยไป-มาในอากาศ จนก่อให้เกิดโรคร้ายใกล้ตัวอย่าง ภูมิแพ้ไรฝุ่น ภัยใกล้ตัวที่เป็นได้ง่ายมาก โดยเฉพาะคนในเมืองใหญ่ ซึ่งโรคนี้น่ากลัวตรงที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาด เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาทั้งจากทางพันธุกรรมของพ่อแม่ที่ส่งต่อให้ลูกตั้งแต่เกิด หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่มีอายุมากแล้วก็สามารถเป็นโรคนี้ได้เหมือนกัน ถ้าอาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงคือเป็นที่บ่มเพาะเชื้อโรค
          ศูนย์บริการและวิจัยไรฝุ่นศิริราช ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่า คนไทยมากกว่าร้อยละ 50 หรือคนไทยกว่าครึ่งประเทศกำลังเป็นโรคภูมิแพ้ไรฝุ่น (Mite Allergy) ซึ่งความรุนแรงสูงสุดของคนที่เป็นโรคนี้อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ และข้อมูลที่น่ากลัวและเป็นการตอกย้ำให้ต้องหันมาตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง คือ ตัวไรฝุ่นบ้าน ตัวการสำคัญของโรคภูมิแพ้ซึ่งเป็นเชื้อโรคตระกูลเดียวกับเห็บที่อยู่ในสุนัข มักจะซ่อนตัวอยู่บนที่นอนพื้นที่ส่วนตัวที่ทุกคนต้องใช้เวลาในการพักผ่อน เรียกว่านอนกลิ้งไปกลิ้งมากับเชื้อโรคที่มองไม่เห็นแบบประชิดสนิทตัววันละไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว
          พันโทแพทย์หญิงธรัชธิดา วิประกษิต แพทย์หญิงประจำสำนักงานแพทย์ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ไรฝุ่นเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น มักอาศัยหลบซ่อนตัวตามซอกมุมต่างๆ ในบ้านที่ไม่ค่อยมีแสงสว่างส่องผ่าน เช่น ห้องนอน, ที่นอน, หมอน, ผ้าห่ม, โซฟา, พรมและเฟอร์นิเจอร์ที่ทำด้วยวัสดุเส้นใย เพราะมีคลังอาหารที่ไรฝุ่นชอบกิน เช่น คราบไคล สะเก็ดผิวหนัง รังแค สปอร์ของเชื้อรา ฯลฯ เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้นแบบเมืองไทย ซึ่งในฝุ่น 1 กรัม จะพบปริมาณไรฝุ่นตั้งแต่ 100-10,000 ตัวเลยทีเดียว ซึ่งตัวไรฝุ่นเป็นตัวการสำคัญในการผลิตสารก่อภูมิแพ้ซึ่งอยู่ในมูลของไรฝุ่นนั่นเอง สารนี้จะไปกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีอาการกำเริบ แม้แต่คนปกติหากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเชื้อในระดับสูงก็เกิดอาการโรคภูมิแพ้ อาการของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ไรฝุ่นจะจาม ไอ น้ำมูกไหล มีผื่นคัน ใต้ตาช้ำ แน่นจมูก หอบ และอาจเกิดภาวะช็อกจนเสียชีวิตได้ หากไปหาหมอหรือกินยาไม่ทัน ซึ่งโรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่รักษาให้หายขาดยาก ดังนั้นจึงต้องกินยาตามอาการอย่างต่อเนื่อง วิธีที่ดีที่สุดคือ หลีกเลี่ยงที่จะอยู่กับแหล่งเพาะเชื้อไรฝุ่น และป้องกันง่ายๆ ด้วยการหมั่นทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
          ด้านนายพิสิษฐ์ องค์ศรีตระกูล ผู้จัดการทั่วไปบริษัท ดีไฮจีนิค ประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านบริการทำความสะอาดและกำจัดเชื้อโรคในที่นอน โซฟา และพรม อันดับ 1 ของโลก นำเข้าจากประเทศเยอรมนี ได้แนะนำวิธีการทำความสะอาดแหล่งเพาะเชื้อไรฝุ่นแบบถูกวิธีว่า ก่อนอื่นต้องพยายามปรับห้องนอนหรือห้องต่างๆ ให้อากาศถ่ายเทสะดวก แสงแดดส่องถึง ขณะเดียวกันต้องทำให้ห้องไม่มีความชื้น เช่น เมื่อเปิดแอร์ก็ต้องตั้งเวลาปิดบ้าง เพื่อให้อากาศภายนอกไหลเวียนเข้ามาในห้อง เพราะไรฝุ่นเจริญเติบโตได้ดีในที่มืดและที่ที่มีความชื้นประมาณ 25-28 องศา
          เซลเซียส ถ้าไม่ปิดแอร์เลย
          อาจทำให้เกิดเชื้อรา ซึ่งเป็น
          อาหารโปรดของไรฝุ่น ช่วย
          เร่งการเจริญเติบโตให้เชื้อ
          โรคด้วย
          ส่วนการทำความสะอาดที่นอน ควร
          เปลี่ยนผ้าปูที่นอน
          อาทิตย์ละครั้ง ด้าน
          ฟูกหรือที่นอนควรนำออกมาผึ่งแดดหรือลมอ่อนๆ และถ้ามีปัสสาวะเด็กให้ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ถูบริเวณที่เปียก และใช้ผ้าแห้งกดเพื่อซับดึงความชื้นออกมา ห้ามทุบตีหรือปล่อยให้เด็กขึ้นไปกระโดดบนที่นอน หรือโซฟาที่ทำจากเส้นใยสังเคราะห์เด็ดขาด เพราะจะทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายเชื้อโรคหรือมูลไรฝุ่นเข้าไปในร่างกายได้ง่ายขึ้น ด้านหมอนไม่ควรซัก เพราะความชื้นจากน้ำอาจทำให้เกิดเชื้อราภายในที่มองไม่เห็น ควรนำไปตากแดดฆ่าเชื้อ ส่วนปลอกหมอนซักได้ตามปกติเพราะเป็นผ้าทั่วไป ด้านโซฟาควรดูดฝุ่นทุก 2 เดือน โดยใช้เครื่องดูดฝุ่นสำหรับดูดโซฟาโดยเฉพาะ ไม่ควรไปปนกับเครื่องที่ดูดพรม
          ในส่วนของพรม อาจต้องดูดฝุ่นถี่หน่อย คือทุก 2 อาทิตย์ เพราะมักจะมีปริมาณมากกว่า แต่ในบางครั้งปริมาณฝุ่นที่ถูกกักเก็บในที่นอนชั้นลึกๆ ก็ยากต่อการทำความสะอาดโดยทั่วไป จึงควรให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และความชำนาญด้านสุขอนามัย (Hygiene) และมีเครื่องมือเฉพาะทางในการซานิไทซิ่ง (Sanitizing) ฆ่าเชื้อโรคในที่นอนโดยเฉพาะด้วยแสงอัลตราไวโอเลต Type C และคลื่นความถี่สูง ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อโรคบนที่นอนที่อยู่ลึกถึง 6-7 นิ้วได้ ซึ่งคนทั่วไปไม่สามารถทำความสะอาดเองได้ ส่วนพรมและโซฟา ผู้เชี่ยวชาญจะดูแลด้วยโฟมแห้งที่สกัดจากสารออร์แกนิก (Organic) ระบบแห้ง 100% ซึ่งสามารถขจัดคราบและเชื้อแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยในส่วนนี้เป็นการทำความสะอาดใหญ่ ซึ่งทำแค่ 6 เดือนต่อ 1 ครั้ง หรือปีละ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว
          ถ้ายังมีข้อสงสัยเรื่องวิธีทำความสะอาดอย่างไรให้ถูกวิธี สามารถปรึกษาฟรีได้ที่ ดีไฮจีนิค ประเทศไทย 0-2281-7103, 0-2628-2652 หรือเข้าไปดูข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ www.dh-thailand.com.


pageview  1206043    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved