HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
ไทยโพสต์ [ วันที่ 05/02/2555 ]
มนุษย์ทุกคนต้องเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายและต้องตาย
          วันก่อนโทรทัศน์เคเบิลช่องที่ 80 มาถ่ายเรื่องผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่บ้านผู้เขียนที่บางเขน ซึ่งผู้เขียนเองก็ถือว่าเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นโรคที่คนชราคนอื่นๆ เขาชอบเป็นกัน เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจ หรือโรคไตวาย เหมือนคนชราที่อยู่ที่ศุขเวชเนิร์สซิ่งโฮม แต่ผู้เขียนก็เป็นโรคที่เกิดขึ้นในวัยชราถึง 4-5 โรค ซึ่งส่วนมากก็เป็นโรคใหม่นอกจากโรคอัมพฤกษ์นิดหน่อย โดยเป็นที่ 3 นิ้วข้างขวา และพูดลำบากต้องเค้นพูดอันซึ่งเป็นเรื่องนำ นอกจากนี้ก็เป็นความเสื่อมของตาที่เรตินา แต่ก่อนหน้านี้ซึ่งเคยแข็งแรงดีก็ไม่เคยกลัวโรคอะไรที่จะเกิดขึ้นกับผู้เขียน แม้แต่ความคิดก็คิดว่าไม่กลัว เพราะถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ และอีกอย่างหนึ่งพุทธศาสนาที่ผู้เขียนเชื่อที่สุดสอนว่ามันต้องมีการเกิดใหม่เสมอ และภพภูมิไหนก็สุดแต่กรรมที่เรากระทำไว้ในอดีต การเกิดใหม่สำหรับผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ทางวัชรญาณพุทธศาสนาถือว่าส่วนใหญ่มาก ก็คือการเกิดเพื่อเป็นมนุษย์อีกซ้ำๆ ซากๆ  เหมือนการเปลี่ยนร่างกายใหม่ ที่ผู้เขียนคิดว่าเหมือนเปลี่ยนรถคันใหม่ ทั้งนี้ ยกเว้นบางคนที่ไปเกิดในนรกหรือสวรรค์ และผู้เขียนก็เชื่ออย่างนั้น เพราะฉะนั้นผู้เขียนจึงคิดว่าไม่กลัวโรคอะไรในวัยชรา ไม่กลัวแม้แต่ความตาย
          แต่พอแก่พอชราและพอเป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมจริงๆ อย่างน้อยกับผู้เขียนที่เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ เพราะเป็นแพทย์มานานแทบจะตลอดชีวิตราชการร่วม 30-40 ปี การอยู่กับและการเรียนวิทยาศาสตร์นานๆ คือการอยู่กับความจริงทางโลก และสติปัญญาความฉลาด หรือปัญญาหยาบ (intellige nc e  ธรรมดาๆ) มาช้านาน จนความรู้เรื่องจิต จิตวิญญาณและทางพุทธศาสนาที่มีมาในอดีตเมื่อยังเป็นเด็กเล็กๆ และความรู้ที่ได้มาเมื่ออายุย่างเข้า 5 ขวบถึงราวๆ  60 ปี จึงทำให้ผู้เขียนยึดติดกับวิทยาศาสตร์เก่าพอแรง ผู้เขียนคิดว่าหากเราเลือกทางเดินชีวิตไปในด้านไหนก็น่าจะมุ่งไปทางนั้น เช่น หากสนใจด้านจิตก็เลือกทางเดินชีวิตไปในทางนั้นตั้งแต่ต้นจนระยะสุดท้ายของชีวิตเลย แต่พระสงฆ์ที่บ้านเราส่วนหนึ่งก็มักบวชเรียนมานาน และมักเป็นจิตนิยมสุดโต่ง เพราะส่วนมากมักไม่ได้มีการศึกษาในทางโลกสูงนัก โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ ซึ่งพุทธศาสนาเป็นและเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นการบวชเรียนสำหรับพระสงฆ์ส่วนนี้ที่มักเป็นจิตนิยมอย่างแรงจึงเป็นจิตนิยมอย่างสุดขั้ว แม้ว่าจะประพฤติพรหมจรรย์  เช่น พระวินัยอย่างเคร่งครัด ก็เป็นเช่นหลวงพ่อชาแห่งวัดหนองป่าพงว่าไว้ พระวินัยนั้นพึ่งเหตุผล (ทางโลก) ดังนั้น จึงไม่จบ แต่อย่างไรก็ตามให้ระวังว่าความรู้ที่เราเลือกในการดำเนินชีวิตทางจิตหรือทางวิทยาศาสตร์จะต้องไม่ไปเกี่ยวข้องกับผู้ที่เลือกการดำเนินชีวิตอีกทาง
          เพราะเหตุนี้ ผู้เขียนบางครั้งจึงไม่สามารถจะลืมความเคยชินที่ฝังลึกในจิตใต้สำนึกได้ ดังนั้น ความจริงทางธรรมจึงบกพร่องทำให้โอกาสของการปฏิปทาทางธรรมก็พลอยบกพร่องไปด้วย เพราะฉะนั้นผู้เขียนคิดว่าการเรียนวิทยาศาสตร์แห่งยุคเก่าจึงไม่สมควรกับปฏิปทาในทางธรรมะ เพราะว่าวิทยาศาสตร์แห่งยุคเก่า เช่น นิวโตเนียนฟิสิกส์และชีววิทยา (ซึ่งเคยบอกแล้วว่าชีววิทยาหากจะคิดว่าเป็นวิทยาศาสตร์ก็เป็นวิทยาศาสตร์เพียงครึ่งหนึ่ง (เพราะว่าชีววิทยาคือ  chance and necessity และ c ha nce หรือความบังเอิญนั้นก็ไม่เป็นวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด ในขณะที่ necessity เป็นการคัดเลือกอันมีธรรมชาติเป็นตัวคัดเลือกนั้น) ฉะนั้น ธรรมะหรือความจริงที่แท้จริงในสายตาผู้เขียนถึงได้คิดว่าไม่เหมาะที่ใครที่จะเรียนวิทยาศาสตร์แห่งยุคเก่า ถ้าหากผู้ใดผู้นั้นสนใจเฉพาะในทางจิตและในทางจิตวิญญาณหรือในทางศาสนา หรือว่าจะสนใจเลือกการดำเนินชีวิตในทางด้านใดอีกด้านหนึ่ง แต่ก็ไม่สมควรที่ผู้นั้นจะคิดหรือดูหมิ่นหรือดูถูกคนที่ดำเนินชีวิตอีกทาง คิดถึงหมอประเวศ วะสี ผู้นำชมรมจิตวิวัฒน์ที่พูดว่า "คนที่เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นอย่างนั้น" ซึ่งทีแรกผู้เขียนไม่เข้าใจความหมายว่าหมอประเวศหมายความว่าอะไร? ผู้เขียนคิดว่าหมอประเวศน่าจะหมายความว่านักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะพวกแพทย์นั้นเรียนมาทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน ซึ่งพูดถึงรูปกายที่มีลักษณะเหมือนกายวัตถุ (ph y sical) คือว่าด้วยเลือดเนื้อที่เหมือนกับวัตถุและเป็นไปตามกฎของฟิสิกส์ ความหมายที่เป็นฟิสิกส์ปนกับชีววิทยาที่มีชีวเคมีเป็นฐาน หมอประเวศคงหมายถึงอย่างนั้น คนเรียนมาโดยแพทยศาสตร์นั้นในที่นี้จึงอาจแบ่งออกไปได้เป็น 2 จำพวก หนึ่งคือจำพวกที่เป็นนักวิทยาศาสตร์จ๋า จำพวกนี้ได้แก่พวกที่จบจากเมืองนอกหรืออยู่นานหลายๆ ปี มักได้บอร์ด (เช่น America n Boa rd o r FRCS) จำพวกนี้ถึงได้เป็นไปตามกฎของ (คลาสสิคัลหรือนิวโตเนียน) ฟิสิกส์ที่ว่าด้วยเลือดเนื้อจึงไม่ประสีประสากับเรื่องทางจิตวิญญาณหรือศาสนาไม่ว่าศาสนาอะไร พวกที่สอง ได้แก่  พวกที่ไม่จบจากนอกหรือไม่นานนัก เช่น ไม่เกิน 2 ปี จำพวกนี้มักเป็นผู้สนใจเรื่องของจิตหรือนาม หลายคนเป็นจิตแพทย์ (ผู้เรียนจบแพทย์ทุกคนจะต้องเรียนจิตวิทยา แต่จำพวกแรกมักจะเรียนจิตวิทยาที่แปลเป็นพฤติกรรมศาสตร์  (b eh aviorism)
          ฉะนั้น บทความนี้จึงขอย้ำชื่อเรื่องของบทความและขอเพิ่มเติมความเป็นจริงในด้านนี้ มนุษย์ทุกๆ คนจะต้องป่วย เมื่อแก่ชราและจะต้องตายอันเป็นธรรมชาติของชีวิต สิ่งที่เพิ่มเติมคือคนเรานั้นเรียนมาทางฟิสิกส์กับชีววิทยาดังที่ได้กล่าวมาข้างบน และวิชาทั้ง 2 วิชา คือวิทยาศาสตร์แห่งยุคสมัยเก่าที่มีมากว่า  500 ปี แต่ทุกวันนี้เรามีวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่หรือควอนตัม       ฟิสิกส์ ซึ่งเป็นความจริงที่แท้จริง และวิทยาศาสตร์ใหม่นี้ได้ให้ความจริงกว่าวิทยาศาสตร์แห่งยุคเก่าอย่างเทียบไม่ได้ ทั้งมีการค้นพบมาเพียงไม่ถึง 100 ปีดี และส่วนใหญ่มากๆ ของเวลาที่ผ่านมานี้ ก็เป็นเวลาที่นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงทั้งหลายต่างพยายามพิสูจน์ว่าวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่นี้นั้นจะต้องไม่ได้เป็นจริง เพราะมันขัดแย้งกับสามัญสำนึกของมนุษย์เราดังที่ไอน์        สไตน์ถึงกับเคยพูดว่า "พระเจ้าคงไม่ได้ชอบเล่นการพนันหรอก" (God does n ot play dice)
          มนุษย์ทุกคนเมื่อย่างเข้าสู่วัยแก่วัยชราจะต้องเจ็บป่วยด้วยโรคแห่งความเสื่อม เช่น ในโฆษณาการประกันชีวิตของบริษัทบริษัทหนึ่ง ด้วยโรคใดโรคหนึ่ง  ส่วนมากมักเป็น 4-5 โรคก่อนที่จะตายไป นั่นคือ วิวัฒนาการของความเสื่อมอันเป็นธรรมชาติของสังขาร และบ่อยครั้งแพทย์สามารถจะทำนายโรคนั้นๆ ล่วงหน้าได้ อย่างน้อยก็คร่าวๆ เช่น อวัยวะอะไรที่จะเป็นโรคนั้น เช่น โรคโรคหนึ่งที่เป็นกับผู้เขียน ที่เหนื่อยง่ายเพราะปอดไม่ดี เนื่องจากสูบบุหรี่มานานหลายสิบปี  แต่ก็บ่อยครั้งที่ทำนายไม่ได้ เช่น โรคมะเร็ง ส่วนการตายนั้นตามปกติจะทำนายล่วงหน้าไม่ได้ ก่อนหน้านี้ไปสมัยเมื่อผู้เขียนยังเล็กๆ อยู่นั้น คิดว่าชาวไทยและชาวตะวันออกด้วยแล้วไม่ค่อยกลัวตายเหมือนกับปัจจุบันนี้ ซึ่งผู้เขียนคิดเอาเองว่าเป็นวัฒนธรรมสั่งเข้าจากฝรั่งหรือชาวตะวันตก เพราะชาวตะวันตกมีวัฒนธรรมในเรื่องความตายต่างจากชาวไทยเมื่อก่อนนี้ ฝรั่งมักไม่ยอมพูดถึงความตาย บ่อยครั้งมากที่จะปฏิเสธความตายด้วยซ้ำไป ดังจะเห็นว่าเด็กฝรั่งจะไม่ไปงานศพหากว่าไม่เป็นผู้ใหญ่ "คุณย่าได้ไปอยู่ที่สวรรค์แล้ว" เด็กจะถูกหลอกเช่นนั้น ส่วนอีกอย่างหนึ่ง ผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของการแพทย์แผนปัจจุบันที่ทำให้ฝรั่งและคนรุ่นใหม่มองความตายว่าเป็นเรื่องของความ "พ่ายแพ้"  ต่อธรรมชาติ เพราะมนุษย์คิดว่า "ถ้าหากเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะต้องเอาชนะธรรมชาติให้ได้"
          การเกิดมาเป็นมนุษย์ ความแก่ความชรา ความเจ็บปวดป่วยเป็นโรคที่มากับความเสื่อมถอย และสุดท้ายความตายนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติจริงๆ ซึ่งตรงกับความจริงทางธรรมหรือธรรมะ ทำไม? เราจึงไม่เห็นก็ไม่รู้? ความเกิดกับความตายนั้นเป็นของคู่กันและเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นวงกลมหรือที่พุทธศาสนาบอกว่าเป็นวัฏจักรทั้งนั้น ทำไม? เราจึงไม่เห็นกัน? จึงน่าแปลกใจมากๆ เพราะฉะนั้น โดยบทความนี้ผู้เขียนจึงมุ่งไปในทางพุทธศาสนาเท่านั้น  โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาอื่นใดเลย บทความนี้จึงไม่ได้พูดถึงศาสนาอื่นใดเป็นการเฉพาะ

pageview  1205121    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved