HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
ไทยโพสต์ [ วันที่ 29/04/2562 ]
รักษาโรคหลอดเลือดหัวใจด้วยเทคนิคสายสวนที่ข้อมือ

 โรคหลอดเลือดหัวใจเกิดจากการเกาะของคราบไขมัน พังผืด หินปูน (Plaque) ภายในผนังหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นการสะสมของคอเลสเตอรอลและสารต่างๆ ภายในหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและอุดตันจนปิดกั้นการไหลเวียนของกระแสเลือด ผู้ป่วยจึงมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจติดขัด หรือรุนแรงถึงขั้นหัวใจวายหากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้ ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่ คอเลสเตอรอลสูง โรคความดันโลหิตสูง ส่งผลให้เกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจแข็ง อาจจะตีบ ตัน หรือโป่ง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจ และอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือ การสูบบุหรี่ ส่งผลต่อการเกิดโรคหัวใจมากถึง 24% ซึ่งสารนิโคตินและก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ในควันบุหรี่นั้นทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงให้เลือดจับตัวกันเป็นลิ่มหรือก้อนอีกด้วย และโรคเบาหวานเป็นความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจมากถึง 2 เท่า โดยอาการของภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบทำให้ร่างกายไม่สามารถส่งกระแสเลือดและออกซิเจนไปยังหัวใจได้ โดยเฉพาะในขณะที่หัวใจต้องทำงานหนัก เช่น ระหว่างออกกำลังกาย เป็นต้น
          รศ.นพ.ดำรัส ตรีสุโกศล แพทย์ปฏิบัติการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจผ่านสายสวน และผู้อำนวยการอาวุโส อายุรแพทย์หัวใจ รพ.หัวใจกรุงเทพ ให้ข้อมูลว่า การตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การตรวจฉีดสารทึบรังสีสวนหัวใจและหลอดเลือด (Cardiac Catheterization) เป็นวิธีการที่พบได้บ่อยเพื่อใช้ในการวินิฉัยและรักษาโรคหัวใจชนิดต่างๆ หัตถการนี้แพทย์จะทำการใส่สายสวน (Catheter) ซึ่งมีขนาดเล็ก สามารถเคลื่อนที่ได้ เข้าไปในหลอดเลือดแดงหรือหลอดเลือดดำบริเวณขาหนีบ ข้อมือ แขน หรือลำคอ สายสวนจะค่อยๆ ถูกใส่และเคลื่อนไปตามหลอดเลือดเพื่อไปยังหัวใจ โดยตำแหน่งของหลอดเลือดแดงที่ทำกันแพร่หลายคือตำแหน่งของหลอดเลือดแดงที่ขา (Femoral Artery) เนื่องจากหลอดเลือดแดงที่ขาเป็นหลอดเลือดแดงที่ใหญ่ สามารถใส่สายสวนเข้าไปได้ง่าย ผู้ป่วยจะมีแผลขนาดเท่าเข็มบริเวณขาหนีบ ทำให้หลังทำหัตถการผู้ป่วยจะต้องนอนราบ ห้ามงอขาข้างที่มีแผลเป็นเวลาค่อนข้างนานอยู่ที่ประมาณ 2-6 ชั่วโมง แพทย์โรคหัวใจจึงได้พยายามหาตำแหน่งของหลอดเลือดแดงตำแหน่งอื่น ซึ่งก็คือ หลอดเลือดแดงที่ข้อมือ (Radial Artery) เพื่อลดภาวะแทรกซ้อน สามารถพัฒนาการรักษา การทำหัตถการโดยการใส่สายสวนผ่านทางหลอดเลือดแดงที่ข้อมือ (Transradial Catheterization) ช่วยในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบโดยการขยายหลอดเลือดหัวใจได้โดยที่ไม่ต้องแทงเข็มใหม่
          การใส่สายสวนหัวใจทางหลอดเลือดแดงที่ข้อมือ สามารถทำได้ทั้งข้อมือด้านซ้ายและด้านขวา แม้ว่าหลอดเลือดจะมีขนาดเล็กกว่าและมีทางเดินที่คดเคี้ยวกว่า แต่ก็มีการพัฒนาอุปกรณ์การรักษาให้มีความเหมาะสม สามารถทำการตรวจและรักษาได้ใกล้เคียงกับการตรวจผ่านหลอดเลือดแดงบริเวณขาหนีบ จนกระทั่งปัจจุบันนี้มีความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การสวนหัวใจผ่านข้อมือนั้นมีประโยชน์และข้อดี คือ ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่เกิดจากการใส่สายสวนหัวใจทางหลอดเลือดแดงที่ขา ลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลนาน ผู้ป่วยสามารถลุกเดินได้ทันทีหลังการผ่าตัด มีภาวะแทรกซ้อนเฉพาะที่ (Local Complication) จากการใส่สายสวนน้อยกว่าแบบการสวนผ่านทางขาหนีบ เนื่องจากเส้นเลือดมีขนาดเล็กกว่า และอยู่ใกล้ผิวหนังมากกว่าทำให้ห้ามเลือดได้ดีกว่ามาก ซึ่งหากมีเลือดออกบริเวณขาหนีบอาจจะต้องให้เลือด หรือบางครั้งจะทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดโป่งพองจนอาจต้องผ่าตัดซ่อมแซม และจะทำให้ผู้ป่วยงอขา หรือลุกเดินได้ช้า ที่สำคัญยังลดค่าใช้จ่ายในการรักษา ภายหลังทำหัตถการผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวัน เช่น เข้าห้องน้ำหรือรับประทานอาหารเองได้
          โดยปกติการสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือขึ้นอยู่กับแพทย์ที่ทำการตรวจเป็นหลัก โดยแพทย์ต้องมีความชำนาญวิธีนี้ ในบางกรณีที่ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวมากหรือมีภาวะหลอดเลือดขาส่วนปลายตีบ การสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือจะมีข้อดีกับผู้ป่วยมากกว่า แต่ในบางกรณีที่ต้องการรักษาหลอดเลือดแดงที่ข้อมือไว้ใช้ในการรักษาอื่นๆ เช่น การฟอกไต (Hemodialysis) หรือผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจที่อุดตันเพื่อทำทางเดินของเลือดใหม่ การสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางขาหนีบก็จะมีข้อดีมากกว่า
          "วิธีการรักษาโรคหัวใจผ่านทางข้อมือก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาที่ทำให้ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบใช้เวลานอนพักฟื้นในโรงพยาบาลสั้นลง ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เข้ามาพบแพทย์จะมีลักษณะของหลอดเลือดที่มีระดับความยากง่ายแตกต่างกัน เช่น ผู้ป่วยบางรายมีอาการหลอดเลือดหัวใจตีบเพียงเส้นเดียวแต่มีการตีบหลายจุด หรือตีบหลายๆ เส้น แบบนี้แพทย์จะต้องหาวิธีการในการรักษาที่ดีเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละบุคคลถือเป็นจุดสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วย" รศ.นพ.ดำรัสกล่าว.


pageview  1205137    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved