สธ.ร่วมกับบริษัท จอห์นสันฯ เปิดตัวแอปพลิเคชันเลิกสูบบุหรี่เพื่อพ่อ "Quit for King" ให้ข้อมูล สร้างแรงจูงใจคนอยากเลิกสูบ รวมทั้งการถอนนิโคตินหลังเลิกอมควันไปแล้ว ด้านผู้ตรวจ ศธ.เผย เด็ก ป.5-ม.2 กำลังเป็นเหยื่ออมควันหน้าใหม่ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่วนระดับ ม.ปลายสวนทางกลับลดลง
          เมื่อวันที่ 3 ธ.ค ที่โรงแรมเดอะเวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (ไทย) จำกัด ร่วมกับสมาคมเภสัชกรรมชุมชน (ประเทศไทย) เปิดตัวโครงการ "เลิกเพื่อพ่อ Quit for King" พัฒนาแอปพลิเคชันช่วยเลิกบุหรี่ "Smoke Free TH" เพื่อสนับสนุนโครง การ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน ที่ริเริ่มโดยกระทรวงสาธารณสุข น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช
          ภก.วีรวัฒน์ มีแก้ว ผู้อำนวยการฝ่ายกิจสัมพันธ์และการเข้าถึงยา บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (ไทย) จำกัด กล่าวว่า การสูบบุหรี่เป็นภัยร้ายแรงต่อสุขภาพและคนรอบข้าง บริษัทได้ริเริ่มโครงการรณรงค์เลิกสูบบุหรี่ด้วยการให้คำปรึกษาผู้อยากเลิกบุหรี่ โดยมีเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญในร้านยาที่ร่วมโครงการทั่วประเทศเป็นผู้ให้คำแนะนำ ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมจำนวนมาก จึงอยากขยายความช่วยเหลือไปสู่ผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่อย่างจริงจัง โดยจัดโครงการ "เลิกเพื่อพ่อ Quit for King"  สร้างแอปพลิเคชันช่วยเลิกบุหรี่ หรือ Smoke Free TH ขึ้นมา โดยแอปพลิเคชันนี้จะเป็นการให้คำปรึกษา ข้อแนะนำที่ช่วยให้ผู้เลิกบุหรี่ได้ฝ่าฟันความท้าทายต่างๆ ที่ต้องเผชิญตลอดเส้นทางการเลิก และสร้างแรงจูงใจเมื่อผู้สูบต้องการจะเลิก นอกจากนี้ผู้ใช้ยังได้เรียนรู้อาการถอนนิโคตินและผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นจากการอดบุหรี่ และคำแนะนำ พร้อมทั้งสามารถย้อนดูเส้นทางแห่งความสำเร็จที่ผ่านมาว่า แต่ละครั้งสามารถอดบุหรี่ได้แค่ไหน และสามารถโทรปรึกษาทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำต่างๆ ได้ ซึ่งแอปพลิเคชันนี้สามารถดาวน์โหลดได้สำหรับผู้ใช้ระบบแอนดรอยด์ และจะมีการพัฒนาแอปพลิเคชัน สำหรับผู้ใช้ระบบ ios ต่อไปในอนาคต
          สำหรับสถานการณ์การสูบบุหรี่ในปัจจุบัน นายกษิดิศ ขันธรัตน์ รองประธานมูลนิธิเครือข่ายหมออนามัย เผยว่า ปัจจุบันผู้สูบบุหรี่มีตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป ประมาณ 10.7 ล้านคน หรือ ร้อยละ 19.1 ซึ่งในนี้มีอัตราการสูบบุหรี่ตามกลุ่มอายุ 15-18 ปีเท่ากับร้อยละ 7.8 จากการดำเนินโครงการ 3 ล้าน 3 ปี ช่วงที่ผ่านมามีส่วนช่วยในการเชิญชวนลดบุหรี่ได้ 200,000 คน ด้วยวิธีหักดิบ หรือเลิกทันที โดยในภาพรวมพบว่าอัตราการสูบบุหรี่มีแนวโน้มจะลดลง ยกเว้นกลุ่มอายุ 19-24 ปี แต่จำนวนผู้สูบบุหรี่เป็นครั้งคราว และผู้สูบหน้าใหม่จะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลโครงการระบุว่ามีจำนวนผู้สูบบุหรี่ใหม่เพิ่มขึ้น จาก ปี 2534 ที่มี 5.9 แสนล้านคน ตอนนี้เพิ่มเป็น 1.2 ล้านคนแล้ว ในปีนี้จึงมีความคาดหวังว่าจะช่วยลดผู้สูบให้มากขึ้นกว่าเดิมจาก 200,00 คน เป็น 300,000 คน จึงจะถือว่าโครงการสำเร็จ แต่ก็เป็นที่น่ากังวลเพราะจำนวนผู้สูบหน้าใหม่ก็เพิ่มขึ้นจำนวนเท่าๆ กันกับจำนวนที่ลด ซึ่งถ้าหากดำเนินโครงการต่อไปต้องตระหนักถึงการลดผู้สูบหน้าใหม่ และอีกประเด็นสำคัญที่ต้องระวังคือตอนนี้มีเรื่องของบุหรี่ไฟฟ้าเริ่มเข้ามาด้วย แม้ว่าจะถูกปิดกั้นโฆษณา แต่ก็สามารถเห็นได้ตามออนไลน์
          ขณะที่ ดร.พิธาน พื้นทอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวเสริมว่า นักสูบหน้าใหม่ที่เกิดขึ้นหนึ่งในนั้นคือเยาวชน ซึ่งพบว่าสถาบันการศึกษาบางแห่งมีเด็กที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งติดเหล้า ติดบุหรี่ หรือทั้งเหล้าและบุหรี่ โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นเด็กที่กำลังท้าทายกับกิจกรรมของสังคม อยู่ในช่วงกำลังศึกษา ป.5-ม.3 หรืออายุ 11-15 ปี ส่วนในเด็ก ม.ปลายกำลังก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่จะมีจำนวนน้อยลง การแก้ปัญหาของกระทรวงศึกษาธิการคือให้สถาบันการศึกษาปฏิบัติตามมาตรการของ พ.ร.บ.บุหรี่และสุราอย่างเข้มข้น และมีกฎห้ามซื้อขาย ห้ามจำหน่ายในเขตบริเวณโรงเรียน ร่วมทำกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ รวมถึงปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีต่อนักเรียน
          ด้าน ภญ.ดร.ศิริรัตน์ ตันปิ ชาติ นายกสมาคมเภสัชกรรมชุมชน กล่าวว่า การช่วยเหลือให้เลิกบุหรี่ก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของเภสัชกร สมาคมมีเภสัชกรที่มีความรู้เรื่องการเลิกบุหรี่ กระจายอยู่ทั่วประเทศที่พร้อมจะให้คำปรึกษาสำหรับคนที่อยากจะเลิกบุหรี่จริงๆ ซึ่งทำหน้าที่ทั้งให้คำปรึกษา แล้วก็จัดเก็บข้อมูลว่าบุคคลที่ต้องการเลิกอยู่ในระดับใด ต้องใช้ยาในการรักษาหรือไม่ หากต้องใช้ยารักษาก็ต้องหายาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ทั้งยังทำหน้าที่เป็นเหมือนเพื่อนที่คอยให้กำลังใจในการเลิก โดยการร่วมมือกันในการเปิดแอปพลิเคชันนี้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้การศึกษาแก่ชุมชน เภสัชกรและคลินิกเลิกบุหรี่ ที่มีเครือข่ายทั่วประเทศ.