HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
ไทยโพสต์ [ วันที่ 24/08/2561 ]
แพทย์แผนไทยส่งทีมไปพิสูจน์อังกาบหนูรักษามะเร็ง

 กรมแพทย์แผนไทยฯ ชี้ อังกาบหนูยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่ารักษาโรคมะเร็งหายขาด แต่มีรสเมาเบื่อ ปรากฏในหลายตำรับแพทย์แผนไทยเป็นส่วนประกอบรักษามะเร็ง พร้อมส่งทีมลงไปสุโขทัย เพื่อหาข้อมูล หากมีข้อบ่งชี้ว่าหายจริง ก็จะได้มีการพิจารณานำสมุนไพรอังกาบหนูมาทำการศึกษาต่อไป
          ที่กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข นพ.ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย ในฐานะรองโฆษกกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก พร้อมด้วย ดร.ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ร่วมกันแถลงข่าวข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อมูลสมุนไพรอังกาบหนู ที่มีข้อมูลจากสื่อออนไลน์อวดอ้างสรรพคุณรักษาโรคมะเร็งได้
          นพ.ขวัญชัยกล่าวว่า สมุน ไพรอังกาบหนูมีรสเย็น โดยมีสรรพคุณเพื่อลดการอักเสบ และมีรสเมาเบื่อน้อยๆ ซึ่งตามตำราสมุนไพรไทยโบราณ ระบุว่าสมุนไพรที่มีรสเบื่อเมา จะมี พิษในตัวเรื่องความคล้ายกับฤทธิ์ ของเหล้า หรือเครื่องดื่มแอลกอ ฮอล์ ซึ่งในตำรับยามะเร็งหลายตำรับมีการใช้สมุนไพรที่มีรสเบื่อเมามาเป็นส่วนประกอบ เช่น ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ หัวร้อยรู ปัจจุบันกรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้มีการวิจัยสมุนไพรรักษามะเร็งอยู่หลายตำรับ เช่น ตำรับวัดคำประมง ที่มีข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ หัวร้อยรู จากการศึกษาพบว่าสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้ แต่ก็ฆ่าเซลล์ร่างกายที่ดีๆ เช่นกัน ดังนั้นถึงต้องเอามาทำเป็นตำรับที่มีสมุนไพรกว่า 25 ตัว ก็พบว่าสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ดี ฆ่าเซลล์ร่างกายน้อยลง ตรงนี้เป็นภูมิปัญญาที่ใช้ฤทธิ์ของสมุนไพรตัวหนึ่งไปแก้พิษของสมุนไพรอีกตัวหนึ่ง
          นพ.ขวัญชัยกล่าวว่า โดยสรุปของสมุนไพรอังกาบหนูสรุปเป็น 2 ข้อ คือ 1.สมุนไพรมี ประโยชน์ ใช้ดื่มได้ แต่ต้องให้ถูกวิธี 2.ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยา ศาสตร์ยืนยันว่ารักษามะเร็งได้ ซึ่งการที่มีผู้ป่วย 5-13 คนที่มีข่าวว่าใช้สมุนไพรดังกล่าวแล้วมะเร็งหายขาดได้นั้น คำว่ามะ เร็งเป็นคำที่กว้างมาก  ต้องมีการพิสูจน์ว่าเป็นมะเร็งที่อวัยวะใด ชนิด ระยะลุกลามแค่ไหน โดยต้องมีข้อมูลจากโรงพยาบาลยืนยัน เพราะหลายครั้งคนไข้ก็เข้าใจผิดว่าป่วยเป็นมะเร็ง และคำว่าหายตามตะวันตก คือ ฆ่าเซลล์มะเร็งให้หายไปได้ หากกินแล้วพบว่าแค่มีอาการดีขึ้น รับประทานได้ นอนได้ เช่นนี้ไม่เรียกว่าหาย ซึ่งในเรื่องนี้ก็ได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่ลงไปที่ จ.สุโขทัย เพื่อตรวจสอบ หากมีข้อชี้บ่งว่าหายจริง ก็จะได้มีการพิจารณานำสมุนไพรอังกาบหนูมาทำการศึกษาต่อไป
          "ทั้งนี้ ในหลักของการใช้สมุนไพร ทุกครั้งที่เริ่มใช้ต้องใช้ทีละน้อย เพื่อดูปฏิกิริยาของร่างกายว่ามีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง โดยมีคำศัพท์ทางแพทย์แผนไทย คือ ลางเนื้อ ชอบลาง ยา หมายความว่าแต่ละคนการ ตอบสนองต่อสมุนไพรไม่เหมือนกัน บางคนใช้และดี บางคนใช้แล้วมีปฏิกิริยาควรงดเว้นทันที และหากใช้แล้วดีแต่ยังไม่มีงานวิจัยรองรับชัดเจนไม่ควรใช้ อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน โดยอาจจะใช้ต่อเนื่อง 7-10 วัน แล้วพัก 3 วันค่อยกินใหม่ เพื่อให้ร่างกายสามารถขับพิษได้ทัน ไม่สะสมเรื้อรังในร่างกาย" นพ. ขวัญชัยกล่าว
          ผอ.สถาบันการแพทย์แผนไทย กล่าวอีกว่า ในการนำสมุนไพรแต่ละชนิดมาศึกษาทดลองนั้น ใช้ระยะเวลานาน 5-10 ปี โดยการทดลองในผู้ป่วยหลายร้อยราย เพื่อพิสูจน์ ว่ารักษาได้จริง การบอกว่าคนจำนวนน้อย 5-10 คนหายขาดข้อมูลไม่เพียงพอ และที่สำคัญใช้งบประมาณจำนวนมาก ประ มาณ 10 ล้านบาท ดังนั้นในการคัดเลือกมาทำการวิจัย ก็จะต้องเลือกสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพ โดยการวิจัยนั้นมี 2 แนวทาง คือ 1.ตามหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตะวันตก มุ่งหาสารออกฤทธิ์สำคัญในการออกฤทธิ์ต่อเซลล์มะเร็ง ส่วน 2.ตามหลักการองค์ ความรู้แพทย์แผนไทย คือการตรวจสอบตำราไทยโบราณว่ามีสรรพคุณรักษาโรคที่สื่อถึงมะเร็ง เช่น น้ำเหลืองเสียหรือฝี หากมีสรรพคุณก็จะเลือกนำมาใช้  โดยในการรวบรวมของเจ้าหน้าที่นั้น ขณะนี้กำลังคิดว่าต้องการเชิญหมอพื้นบ้านที่มีการใช้จริง เพราะต้องศึกษาทั้งในสัตว์ ในคน ต้องมีการเก็บข้อมูลจริงจากผู้ป่วย มาร่วมเสวนาระดมความคิดเห็นว่าสมุนไพรมีการใช้อย่างไร ใช้กับอาการไหน ต้องนำมาใช้ในงานวิจัยอย่างไร หากสมมติมี 10 คน 9 ใน 10 บอกว่ามีการใช้ก็จะเดินหน้าต่อในการวิจัย แต่หากบอกว่าไม่เคยเห็น ไม่เคยใช้การพิจารณานำมาวิจัยก็จะเก็บไว้ท้ายๆ
          ด้าน ภญ.สุภาภรณ์กล่าวว่า จากข้อมูลความเป็นพิษของอังกาบหนูนั้นซึ่งเคยศึกษาทั้งในสารสกัดน้ำมันและในน้ำ และทดลองในหนูไม่พบความผิดปกติ ดังนั้นขอให้สบายใจได้ หรืออีกกรณีมีการศึกษาพบว่ารากของต้นอังกาบหนู  หากกินมากมีผล ทำให้สเปิร์มลดลง จะทำให้เป็น หมัน อย่างไรก็ตามการใช้สมุน ไพรต่างๆ ต้องมีความรู้ และใช้ให้ถูก อย่างอังกาบหนูนั้นมีความสามารถในการแก้อักเสบ รักษาแผลเปื่อยต่างๆ เช่น ถ้าต้มกินก็ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร รวมถึงริดสีดวง เป็นต้น หรือต้มดื่มเป็นชาแก้หวัด ไอ  เจ็บคอ โดยใช้อังกาบหนูประมาณ 30 กรัมต้มหม้อเล็กดื่มวันละ 3 แก้ว แต่ไม่ควรดื่มติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อย่างไรก็ตาม ทาง รพ.อภัยภูเบศรเล็งศึกษาเป็นเจลรักษาแผลที่เกิดจากโรคมือ เท้า ปาก แต่ยังไม่ทันได้เริ่ม.


pageview  1205100    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved