นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า เดือน พ.ค.นี้จะเริ่มฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ใน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มประชาชนทั่วไป ซึ่งจะดำเนินการในกลุ่มเสี่ยง โดยขณะนี้ในพื้นที่กรุงเทพฯเริ่มมีการนัดหมายผ่านแอปพลิเคชัน "สปสช.สร้างสุข" ส่วนในต่างจังหวัดจะมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เข้าไปดูแลและนัดหมายกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีน เพื่อลดจำนวนคนไปโรงพยาบาล นอกจากนี้ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ดสปสช.) ยังได้เห็นชอบ 7 มาตรการ ในการควบคุมและป้องกันโรคโควิด-19 ได้แก่ 1.ส่งยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับผู้ป่วยรายเก่าทางไปรษณีย์ในช่วงการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 โดยมีหน่วยบริการเข้าร่วมโครงการ 349 แห่ง 2.ลดความแออัดในโรงพยาบาลโดยขยายร้านยา "โครงการรับยาใกล้บ้าน" 3.ผู้ป่วยโรคเรื้อรังรับยาหรือบริการทางการแพทย์ตามความจำเป็นนอกหน่วยบริการประจำได้ 4.จ่ายชดเชยค่าบริการกรณีโรคโควิด-19 ให้กับหน่วยบริการนอกระบบสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือสิทธิบัตรทอง ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน
          เลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อไปว่า 5.จ่ายชดเชยค่าบริการโรคโควิด-19 จำนวน 1,500 บาทต่อห้อง/คืน ให้โรงพยาบาลสนามหรือหน่วยงานอื่นที่ผ่านการรับรองเกณฑ์การประเมินโดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ 6.นำงบฯค่าเสื่อมของสิ่งก่อสร้างและครุภัณฑ์ปีงบประมาณ 2563 ไปซื้อครุภัณฑ์ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 ได้ และ 7.เลขาธิการ สปสช.และประธานบอร์ด สปสช.มีอำนาจพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์วิธีการ เงื่อนไข อัตราค่าใช้จ่าย และการจ่ายค่าใช้จ่ายให้แก่หน่วยบริการ เพื่อประโยชน์การบริหารกองทุนทันต่อสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 โดยไม่ต้องขออนุญาตบอร์ดใหญ่ นอกจากนี้ สปสช.ยังได้มีการเพิ่มเติมให้หน่วยบริการเอกชนสามารถร่วมเป็นหน่วยบริการคัดกรองโรคโควิด-19 เชิงรุกในพื้นที่ชุมชน ทั้งนี้ สำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ผ่านมาในประเทศไทยพบว่า 80% เป็นผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง.