นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน
กระทรวงสาธารณสุขได้ทำการตรวจคัดกรองสุขภาพทารกแรกเกิดป้องกันโรคเอ๋อ ด้วยการเจาะ "ส้นเท้า" นำเลือดมาวัดระดับ ไทรอยด์ สติมูเลติง ฮอร์โมน ( Thyroid Stimulating Hormone )หรือ ทีเอสเอช ( TSH) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมใต้สมอง ค่าทีเอสเอชจะขึ้นอยู่กับระดับไทรอยด์ฮอร์โมน หากต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนได้ตามปกติค่าทีเอสเอชจะต่ำ แต่ถ้าไม่สามารถสร้าง้ไไทรอยด์ฮอร์โมน หรือสร้างได้น้อย เช่น ขาดสารไอโอดีน ต่อมใต้สมองจะหลั่งทีเอสเอชออกมามากขึ้น เพื่อไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ ทำให้ค่าทีเอสเอช สูง
โดย ดร.วิยะดา เจริญศิริวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการการตรวจคัดกรองสุขภาพทารกแรกเกิด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข อธิบายว่า การเจาะส้นเท้าทารกแรกเกิด เพื่อตรวจวัดระดับทีเอสเอช ได้เริ่มโครงการนำร่องตั้งแต่ปี 2539 ที่ จ.น่าน เนื่องจากในสมัยนั้นมีคนที่เป็นโรคคอพอก พัฒนาการช้า ความคิดความอ่านไม่เป็นปกติ สติปัญญาด้อย 1 ต่อ 900 หมายความว่า ทารกเกิดมา 900 คนจะมีภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด หรือ เป็นโรคเอ๋อ 1 คน ในขณะที่อุบัติการณ์ของโลกอยู่ที่ประมาณ 1 ต่อ 3,000-4,000 คน
หลังจากนั้นได้มีการขยายการตรวจคัดกรองไปเรื่อย ๆ จนครบ 76 จังหวัดเมื่อปี 2543 ในปัจจุบันได้มีการตรวจคัดกรองทารกแรกเกิดทั่วประเทศ ด้วยน้ำยาที่ผลิตขึ้นเอง ต้นทุนในการตรวจที่ได้รับจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อยู่ที่ 123.80 บาทต่อคน ครอบคลุมเด็กทารกแรกเกิดถึง 95% ส่วนอีก 5% คือ คลอดตามบ้าน หรืออยู่ตามภูเขา ตะเข็บชายแดน ซึ่งได้ให้ อสม.เข้าไปเก็บเลือดใส่กระดาษซับออกมา คือ ร้อยทั้งร้อยของทารกที่คลอดในโรงพยาบาลจะได้รับการเจาะส้นเท้าเพื่อนำเลือดมาตรวจ ยกเว้นในรายที่มีปัญหาตัวเล็ก อยู่ในตู้อบ พ่อแม่ไม่เข้าใจจริง ๆ คือ สิ่งที่เป็นปัญหาสำคัญของโครงการ คือ คุณพ่อคุณแม่ไม่อยากให้ทำร้ายลูกเขา ด้วยการเจาะส้นเท้า เพราะกลัวลูกเจ็บ แต่ได้มีการให้ข้อมูลเรื่องการเจาะส้นเท้าตั้งแต่ฝากครรภ์แล้วทำให้การเจาะเลือดทารกในปัจจุบันทำได้ง่ายขึ้น เพราะทุกคนไม่ต้องการให้ลูกโง่
ตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปัจจุบันสามารถตรวจคัดกรองทารกแรกเกิดไปแล้ว9,053,873 คน สามารถรักษาทารกได้ถึง 4,565 คน ทั้งนี้ในแต่ละปีที่มีการคัดกรองทารกแรกเกิดประมาณ 8 แสนคนจะพบทารกที่มีความผิดปกติประมาณ 500-600 คน หากช่วยได้เร็วทารกเหล่านี้ก็สามารถมีพัฒนาการเหมือนทารกปกติ
จากการให้ทางจุฬาฯประเมินพบว่า เด็ก 1 คนที่เป็นโรคเอ๋อ หรือ ภาวะปัญญาอ่อน รัฐจะสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 8.3 ล้านบาท
สำหรับการเจาะเลือดทารกเพื่อนำมาตรวจนั้น จะนำมาทั้งหมด6หยด โดยหยดลงบนกระดาษซับแห้ง และส่งทางไปรษณีย์มาที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อได้รับเลือด 6 หยดแล้วจะนำมาพิมพ์ข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียด ใส่ลงไปในระบบฐานข้อมูล จากนั้นนำกระดาษซับเลือดเข้าห้องปฏิบัติการ และใช้น้ำยาตรวจตามกระบวนการ
เลือด 6 หยดที่เจาะมา 2 หยดแรกจะตรวจวัดระดับทีเอสเอช ถ้าผลออกมาทารกมีความผิดปกติอยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะตรวจซ้ำ ส่วนอีก 2 หยดจะตรวจพีเคยู (PKU) หรือ ฟีนิลคีโตนูเรีย (phenylketonuria) โรคนี้เด็กไม่สามารถย่อยกรดอะมิโนที่ชื่อฟีนิลอลานิน พอย่อยไม่ได้ก็เกิดสารพิษไปสะสมที่สมองทำให้เด็กสติปัญญาอ่อน ตรงนี้เป็นโรคทางพันธุกรรม พบในฝรั่งเยอะ คนไทยเคยพบอุบัติการณ์สูงสุดปีหนึ่งประมาณ 6-7 คน แต่บางปีอาจจะไม่เจอเลย เพราะเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ส่วนอีก 2 หยดป้องกันข้อผิดพลาด นอกจากนี้สิ่งที่อยู่บนกระดาษซับเลือดที่เหลือใช้ เพราะทารกไม่ผิดปกติจะใช้เพียง 2 หยดเท่านั้น ที่เหลือจะเก็บในธนาคารดีเอ็นเอ ตอนนี้คัดกระดาษซับที่ดี ๆ ได้ประมาณ 4 ล้านกว่าคนแล้ว
กรณีทารกปกติจะทราบผลวันต่อวัน โดยจะมีการแจ้งผลการตรวจผ่านทางเว็บไซต์ ทางโรงพยาบาลที่ทารกเกิดและเป็นคนเจาะส้นเลือดส่งมาตรวจสามารถใช้รหัสผ่านเข้าไปดูผลได้เลย แต่ถ้าทารกมีความผิดปกติ อยู่ในกลุ่มเสี่ยงภายใน 5 วันทำการจะทราบผล ทารกที่มีระดับทีเอสเอชเกิน 25 มิลลิยูนิต อาจเกิดจากไม่มีต่อมไทรอยด์ ต่อมไทรอยด์เล็ก หรืออยู่ผิดที่ ผลิตไทรอยด์ฮอร์โมนไม่ได้เหมือนคนปกติ ต้องรักษาตลอดชีวิต แต่การรักษาง่ายมากด้วยการกินยาเม็ดไทรอยด์ฮอร์โมนราคา 50 สตางค์ต่อเม็ด ถ้าพบว่าทารกแรกเกิดมีค่าทีเอสเอชเกิน 25 มิลลิยูนิต ก็จะตามตัวมารักษา หากตามได้เร็วเท่าไหร่ สมอง พัฒนาการ จะเกิดขึ้นเร็วเท่านั้น สมองก็สามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติ แต่ถ้า 3 เดือนค่อยตามกลับมา พัฒนาการก็ช้า ทำให้สติปัญญาต่ำ
ส่วนทารกที่มีระดับทีเอสเอชเกิน 11.2 มิลลิยูนิตอาจเป็นแค่ภาวะขาดสารไอโอดีน ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกระบุว่า หากประชากรในพื้นที่มีระดับทีเอสเอชของทารกแรกเกิดเกิน11.2 มิลลิยูนิต มากกว่า 3% ถือว่าขาดสารไอโอดีน ในประเทศไทยตอนนี้เรียกว่าขาดกันทุกจังหวัด สำหรับผลที่ตรวจพบจะไปแจ้งให้ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทราบเพื่อนำไปทำแผนบูรณาการรณรงค์แก้ไขปัญหาต่อไป
วันนี้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายให้ทางโรงพยาบาลเจาะ "ส้นเท้า" ลูกน้อยแล้วหรือยัง !!??