จากการสัมมนาวิชาการเรื่อง "การเปิดเสรีอาเซียน : การเตรียมกำลังคนด้านสุขภาพของประเทศไทย" เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ที่มหาวิทยาลัยรังสิต รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า ถึงเวลาที่น่าจะต้องมีการสังคายนาเรื่องใบประกอบวิชาชีพกับอำนาจในการควบคุมหลักสูตรของสภาวิชาชีพ ทั้งในส่วนของแพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเทคนิคการแพทย์  ซึ่งตนเห็นด้วยว่าควรควบคุมดูแล กำหนดจำนวนการผลิตนักศึกษาที่เหมาะสมกับศักยภาพของสถาบัน ไม่ควรลงไปกำหนดถึงกระบวนการในการผลิต เพราะต่อไปหากเปิดประชาคมอาเซียนแล้ว อาจเจอกรณีที่นักศึกษาไปเลือกเรียนในสถาบันต่างประเทศที่มั่นใจว่าจะได้รับใบประกอบวิชาชีพได้ แล้วกลับเข้ามาประกอบวิชาชีพในไทย ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นอาจกลายเป็นปัญหาสำหรับวงการวิชาชีพของไทยได้
          ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ที่ปรึกษานายกแพทยสภา กล่าวว่า แพทยสภาได้มีการปรับตัวเพื่อรองรับการเปิดประชาคมอาเซียนโดยการปรับหลักเกณฑ์การขอใบประกอบวิชาชีพให้มีความเป็นสากล โดยไม่ปิดกั้นการเข้ามาของกลุ่มแพทย์ที่มีฝีมือเพื่อให้วงการแพทย์ไทยเกิดการพัฒนา อย่างไรก็ตามยอมรับว่าที่ผ่านมาแพทยสภาไม่ได้มีการจัดทำโรดแม็พเพื่อเตรียมกำลังในด้านนี้ให้เพียงพอ แต่แนวทางเบื้องต้นแพทยสภาจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน อาทิ โรงพยาบาลเอกชนที่มีศักยภาพและเสนอตัวเข้ามาช่วยผลิตบุคลากรทางการแพทย์ ได้มีสิทธิผลิตแพทย์เข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น เพราะหากจำกัดการผลิตแพทย์ให้อยู่ในวงแคบต่อไปอาจมีหมอลาวหมอพม่าเข้ามาแทนที่หมอไทย
          ดร.กฤษดา แสวงดี อุปนายกสภาการพยาบาล กล่าวว่า ปัจจุบันสภาการพยาบาลได้วางแผนการผลิตพยาบาลจำนวน 9,000- 10,000 คนต่อปีจนถึงปี 2556 เพื่อรองรับการขยายบริการด้านสุขภาพ โดยพิจารณาจากค่าประมาณความต้องการกำลังคนของทั้งประเทศ แต่หากต้องการขยายเพิ่มมากกว่านี้ก็คงไม่สามารถทำได้เนื่องจากขาดแคลนอาจารย์พยาบาล เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยไม่มีการลงทุนพัฒนาเพื่อเพิ่มจำนวนอาจารย์พยาบาลเลย.