|
|
|
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ [ วันที่ 13/05/2563 ] |
|
|
|
|
จากต้มยำกุ้ง แฮมเบอร์เกอร์ สู่โควิด-19 วิกฤติทางใจต้องตั้งการ์ดยาว |
|
|
|
|
ทีมข่าวเฉพาะกิจ รายงาน
ต้องยอมรับว่าผลกระทบทางสังคมจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 คือความหนักหน่วงที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก สภาพจิตใจเป็นหนึ่งในปัญหาซึ่งก่อนหน้านี้เริ่มมีเสียงสะท้อนให้จับตาปรากฏการณ์ "ฆ่าตัวตาย" ที่จะกลายเป็นผลกระทบเรื้อรังในระยะยาว
จับสัญญาณจากข่าวความเดือดร้อนที่นำไปสู่การตัดสินใจทำร้ายตัวเอง และประสบการณ์จากวิกฤติเศรษฐกิจสำคัญในอดีต แม้ครั้งนี้ไม่ได้มีที่มาจากปมโดยตรง แต่มาตรการสกัดกั้นโรคระบาด การล็อกดาวน์ทั่วประเทศก็ส่อแววพ่นพิษเศรษฐกิจย่อยยับไม่ต่างกัน
มีข้อมูลจากศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ โดย นพ.ณัฐกร จำปาทอง ผอ.รพ.จิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ เกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาการฆ่าตัวตายของประเทศไทยช่วงวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เปรียบเทียบระหว่างวิกฤติการเงินต้มยำกุ้ง ปี 2540 และวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ หรือวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2551 แบ่งข้อมูลเป็นระยะ 6 เดือนแรก และ 6 เดือนหลังของแต่ละปี ในช่วงเวลา 5 ปีต่อเนื่องหลังเหตุการณ์ ดังนี้
"วิกฤติต้มยำกุ้ง"
จำนวนผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จทั่วประเทศช่วงปี 2540-2544
ปี 2540 6 เดือนแรก 1,994 คน 6 เดือนหลัง 2,189 คน รวม 4,183 คน
ปี 2541 6 เดือนแรก 2,522 คน 6 เดือนหลัง 2,442 คน รวม 4,964 คน
ปี 2542 6 เดือนแรก 2,868 คน 6 เดือนหลัง 2,422 คน รวม 5,290 คน
ปี 2543 6 เดือนแรก 2,722 คน 6 เดือนหลัง 2,467 คน รวม 5,189 คน
ปี 2544 6 เดือนแรก 2,658 คน 6 เดือนหลัง 2,145 คน รวม 4,803 คน
"วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์"
จำนวนผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จทั่วประเทศช่วงปี 2551-2555
ปี 2551 6 เดือนแรก 1,963 คน 6 เดือนหลัง 1,815 คน รวม 3,778 คน
ปี 2552 6 เดือนแรก 1,966 คน 6 เดือนหลัง 1,821 คน รวม 3,787 คน
ปี 2553 6 เดือนแรก 1,896 คน 6 เดือนหลัง 1,865 คน รวม 3,761 คน
ปี 2554 6 เดือนแรก 2,077 คน 6 เดือนหลัง 1,796 คน รวม 3,873 คน
ปี 2555 6 เดือนแรก 2,107 คน 6 เดือนหลัง 1,878 คน รวม 3,985 คน
อย่างไรก็ตาม สถิติข้างต้นเป็น "ภาพรวม" จำนวนผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จในแต่ละปีที่เกิดจาก "หลากหลายปัจจัย" ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ ความเจ็บป่วย และปัญหาด้านเศรษฐกิจ โดยช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของจำนวนการฆ่าตัวตายเพิ่มมากขึ้นและพุ่งสูงหลังพ้นวิกฤติมาแล้ว 24 เดือน โดยปี 2542 ถือเป็นปีที่มีอัตราฆ่าตัวตายสูงที่สุดเท่าที่เคยมีการเก็บข้อมูล คือมีอัตราเฉลี่ย 8.59 ต่อประชากรแสนคน ส่วนวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์จำนวนผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จในแต่ละปีช่วงนั้นใกล้เคียงกัน โดยอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 5.9-6.0 ต่อประชากรแสนคน ไม่ต่างจากค่าเฉลี่ยที่เกิดขึ้นในปีอื่น ๆ
จากข้อมูลการฆ่าตัวตายสำเร็จย้อนหลัง 10 ปีที่ผ่านมาพบว่ามีอัตราเฉลี่ย 6.0-6.5 ต่อประชากรแสนคน ดังนี้
ปี 2552 2553 2554 2555 2556 2557 2558 2559 2560 2561
5.97 5.90 6.03 6.20 6.08 6.08 6.47 6.35 6.03 6.32
สำหรับปี 2562 มีการออกมาเปิดเผยอัตราฆ่าตัวตายสำเร็จอยู่ที่ 6.64 ต่อประชากรแสนคน หากจำแนกอัตราฆ่าตัวตายผู้ชายจะสูงกว่าผู้หญิงทุกปีประมาณ 4 เท่า ยกตัวอย่าง 5 ปีที่ผ่านมา
ปี 2557 2558 2559 2560 2561
ชาย 9.63 10.54 10.29 9.93 10.41
หญิง 2.63 2.53 2.56 2.28 2.44
ในปี 2562 ก็เช่นเดียวกันอัตราการฆ่าตัวตายผู้ชายยังคงสูงกว่าผู้หญิง โดยช่วงอายุที่พบการฆ่าตัวตายสูงสุดอยู่ในวัยแรงงานระหว่าง 30-39 ปี วิธีการฆ่าตัวตายส่วนใหญ่ ร้อยละ 82.4 คือการแขวนคอ ขณะที่ปัจจัยที่นำไปสู่การฆ่าตัวตายสำเร็จ ส่วนใหญ่มาจากปัจจัยด้านความสัมพันธ์ รองลงมาคือโรคประจำตัว ความเจ็บป่วยเรื้อรัง ติดสุรา เคยมีประวัติทำร้ายตัวเอง ยาเสพติด และปัญหาด้านเศรษฐกิจ
ท่ามกลางปัญหาการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นทุกปี เงื่อนไขความกดดันจากภาวะเศรษฐกิจหนักทำให้มีข้อห่วงใยเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 มีการวางกรอบเป้าหมายภายในปี 2564 ต้องลดอัตราฆ่าตัวตายสำเร็จไว้ไม่เกิน 6.0 ต่อประชากรแสนคน จากการเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2540 พบว่าประเทศไทยเคยมีอัตราการฆ่าตัวตายต่ำกว่า 6.0 ต่อประชากรแสนคน ในช่วงระหว่างปี 2549-2553
การฆ่าตัวตายส่วนใหญ่นอกจากไม่ได้มาจากปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงปัจจัยเดียว ก่อนตัดสินใจยังมักมีสัญญาณเตือนไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
เบื้องต้นกรมสุขภาพจิตออกมาระบุถึงการจัดทำแผนฟื้นฟูจิตใจในสภาวะการแพร่ระบาดโควิด-19 แบ่งเป็น 1. เพิ่มระดับเฝ้าระวังสุขภาพจิต โดยเฉพาะปัญหาการฆ่าตัวตายทั้งจากระบบรายงานและที่ปรากฏเป็นข่าว 2. ระบุกลุ่มเสี่ยงผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายคู่ขนานกับการประสานหน่วยบริการเข้าไปดูแลด้วยกระบวนการบำบัดแบบสั้นและการป้องกันภาวะสุขภาพจิตตามระดับความรุนแรง ในกลุ่มผู้เสี่ยงระดับรุนแรงต้องติดตามต่อเนื่องว่าจะไม่กลับมาทำร้ายตนเองซ้ำอีก และ 3. เสริมความเข้มแข็งทางใจ ผ่านกลไกบ้าน วัด โรงเรียน พร้อมเข้มงวดมาตรการจำกัดการดื่มสุราและใช้สารเสพติด
มาตรการรับมือวิกฤติทางใจเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ความรู้สึกที่ค่อย ๆ สะสมทำให้ผลลัพธ์อาจไม่ได้เกิดขึ้นโดยรวดเร็ว ทันที ดังนั้น การตั้งการ์ดรับมือกับสถานการณ์หลังจากนี้จึงยิ่งสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ.
ชี้ช่องบรรเทาทุกข์
สายด่วน สุขภาพจิต 1323 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300
แอดไลน์ "KhuiKun" (คุยกัน) สมาคมสะมาริตันส์ 0-2713-6793 1765
แอพพลิเคชั่น "SABAIJAI" (สบายใจ) สายด่วนกระทรวงวัฒนธรรม 1765 |
| | |
|
| |