เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่โรงแรมเดอะสุโกศล ศ.นพ.สมเกียรติ วงษ์ทิม นายกสมาคม สภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย แถลงข่าวความร่วมมือเครือข่าย 5 สถาบัน ได้แก่ สมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย สมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย  ราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิกแพทย์แห่งปะเทศไทย และราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย ในการจัดทำแนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคหืดฉบับใหม่ พ.ศ. 2562 ว่า สถานการณ์โรคหืดในปัจจุบันของไทย มีประมาณ 4 ล้านคน หรือ 7 เปอร์เซ็นต์ มีแนวโน้มเสียชีวิตมากกว่า 2,000 รายต่อปี อาการ มีตั้งแต่ระดับรุนแรงน้อย ถึงรุนแรงมาก ส่วนใหญ่เป็นแบบรุนแรงน้อยควบคุมไม่ให้กำเริบได้ แต่ปัญหาจริง ๆ คือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก มักต้องเข้าห้องฉุกเฉินบ่อย ใช้ยาเยอะเพื่อควบคุมโรค
          ผศ.นพ.ธีระศักดิ์ แก้วอัมตวงศ์ เลขาธิการสมาคมสภาองค์กรโรคหืดฯ กล่าวว่า สำหรับแนวทางวินิจฉัยและรักษาโรคฉบับใหม่นั้นได้เพิ่มเติมแนวทาง 4 เรื่อง คือ 1.การรักษาโดยใช้ระบบภูมิคุ้มกัน หรือให้วัคซีนป้องกันสารก่อภูมิแพ้ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดโรคหืด  2.การรักษาโดยการส่องกล้อง 3.การรักษาด้วยการให้ผู้ป่วยดูแลตนเอง โดยใช้หลักการอารมณ์ อาหาร สิ่งแวดล้อม ออกกำลังกาย และ 4.การดูแลผู้ป่วยโรคหืดที่มายังห้องฉุกเฉิน รพ. โดยหากบรรเทาอาการแล้วต้องส่งผู้ป่วยมายังแผนกผู้ป่วยนอก หรือคลินิกโรคหืดดูแลต่อเพื่อ ไม่ให้อาการกำเริบขึ้น เพราะเดิมให้ผู้ป่วยกลับบ้านแล้วมีอาการกำเริบ นอกจากนี้ยังได้จัดทำโครงการ Severe Asthma Registry Program Thailand :SARP-T คือ จัดทำทะเบียนผู้ป่วยโรคหืดที่มีอาการรุนแรง เพื่อให้เห็นถึงอุบัติการณ์ ความชุก และหาแนวทางการรักษาที่  เหมาะสม เพื่อลดอาการกำเริบและลดงบประมาณในการรักษาจากการใช้ยามากขึ้น ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก รพ.กว่า 20 แห่ง ทั่วประเทศ.