HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก [ วันที่ 04/05/2555 ]
7จว.เหนือวิกฤติเร่งฝนหลวงอุทัยฯหยุดประปา

ภัยแล้งเริ่มขยายวง เร่งทำฝนหลวง 7 จว.เหนือตอนล่าง วัวร้อนเครียดรีดนมได้น้อย อุทัยธานีน้ำสะแกกรังแห้ง สั่งลด-หยุดจ่ายประปา ที่ปทุมฯชายวัย 62 เป็นลมแดดดับ
          สถานการณ์ภัยแล้งเริ่มก่อตัวและขยายวงอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรในหลายพื้นที่ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม นายกิตติ ธูปศรี หัวหน้าปฏิบัติการฝนหลวงพิษณุโลก กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงพิษณุโลก รับผิดชอบ 7 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง บินโปรยฝนหลวงมาแล้ว 137 เที่ยวบิน จำนวนสารเคมีรวม 150 ตัน มีฝนตก 32 วัน ถือว่าช่วยเหลือเกษตรกรได้ในหลายพื้นที่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์แล้งรุนแรงขึ้นทำให้ทั้ง 7 จังหวัดร้องขอให้ปฏิบัติการฝนหลวงไปโปรยสารทำฝนเทียม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกพืชผลทางเกษตร ไม่ว่าจะเป็นการปลูกข้าว ข้าวโพด อ้อย ซึ่งกำลังต้องการน้ำมาก ดังนั้นต้องจัดคิวโปรยฝนเทียม เนื่องจากการปฏิบัติงานมีข้อจำกัด บินได้เพียงวันละ 2 เที่ยวบิน และบินพร้อมกันเที่ยวละ 3 ลำ
          ล่าสุดวันที่ 2 พฤษภาคม หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงพิษณุโลกขึ้นบินโปรยสารเคมีในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ตาก พิษณุโลก และกำแพงเพชร เนื่องจากมีพื้นที่ต้องการนำไปช่วยเหลือพี่น้องเกษตร หลังจากแหล่งน้ำทางธรรมชาติแห้งขอดแห่งน่าวิตก ทั้งนี้หากสาถานการณ์ภัยแล้งยังรุนแรงต่อเนื่องจะต้องบินทำฝนเทียมไปจนถึงเดือนตุลาคมนี้
          วัวเครียดรีดนมได้น้อยลง
          นายวิเชียร อินต๊ะไชย ประธานสหกรณ์โคนมภาคเหนือ กล่าวว่า อากาศที่ร้อนจัดทำให้โคนมเกิดความเครียด ส่งผลให้ผลผลิตน้ำนมดิบลดลงตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเมษายน ที่ผ่านมา โดยสหกรณ์ในพื้นที่ภาคเหนือต่างล้วนประสบปัญหาเดียวกันสหกรณ์โคนมแม่วาง จำกัด ที่ผมดูแลอยู่พบว่าโคนมรีดน้ำมันได้กว่า 900 ตัว รวมวันละ 12 ตัน จากเดิมวันละ 13 ตัน เกษตรกรต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการติดสปริงเกลอร์บนหลังคาโรงเรียน
          อุทัยธานีวุ่นหยุดผลิตประปา
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระดับน้ำในแม่น้ำสะแกกรังที่ลดลงอย่างรวดเร็วช่วง 5 วันที่ผ่านมา นอกจากส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตชาวแพในแม่น้ำสายหลักของอุทัยธานีจำนวนมากนั้น กองการประปาเทศบาลเมืองอุทัยธานี ยังออกประกาศแจ้งเตือนประชาชนถึงความจำเป็นต้องลดระดับแรงดันการจ่ายน้ำประปา และหยุดจ่ายน้ำประปาในช่วงเวลา 24.00-04.00 น.ของทุกวัน จนกว่าสถานการณ์ภัยแล้งจะคลี่คลาย
          ทั้งนี้ ระบบการสูบจ่ายประปาที่ต้องพึ่งพาน้ำดิบจากแม่น้ำสะแกกรัง และมีโรงสูบน้ำ ตั้งอยู่บริเวณสะพานพัฒนาภาคเหนือ ขัดข้องเนื่องจากระดับน้ำลดลงไปมาก จำเป็นต้องต่อท่อให้ลึกลงไปกว่าเดิม เพื่อสูบน้ำขึ้นไปผลิตน้ำประปา โดยเจ้าหน้าที่ของกองการประปาเทศบาลเมืองอุทัยธานีกำลังเร่งขยายความยาวท่อสูบน้ำและซ่อมแซมระบบให้สามารถสูบน้ำได้มากขึ้น
          "ปู"สั่งมท.-เกษตรฯกู้วิกฤติแล้ง
          วันเดียวกัน เมื่อเวลา 10.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ(กนอช.) ครั้งที่ 2 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวก่อนการประชุมตอนหนึ่งว่า ในการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน และเกาหลี ได้ศึกษาแผนบริหารจัดการน้ำทั้ง 2 ประเทศ และต่อจากนี้จะมีการนำแผนดังกล่าวมาปรับใช้ในการบริหารจัดการน้ำของไทยแบบรวมศูนย์ หรือ ซิงเกิบ คอมมานด์ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเทศที่เสนอให้การช่วยเหลือประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ซึ่งการช่วยเหลือจะเป็นรูปแบบการลงนามบันทึกข้อตกลง หรือเอ็มโอยู ซึ่งจะไม่มีข้อผูกมัด เป็นการช่วยเหลือแบบรัฐต่อรัฐ
          จากนั้นเวลา 12.30 น.น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า รัฐบาลมีความห่วงใยทั้งปัญหาภัยแล้ง และปัญหาน้ำท่วม โดยในส่วนของน้ำท่วมนั้นถือเป็นปัญหาหนักที่ทุกคนเห็นกันแล้ว ส่วนน้ำแล้งก็เป็นปัญหาต่อเกษตรกรวันนี้การบรรเทาเยียวยาต้องแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือภัยแล้ง กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการแจกจ่ายน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคลงไปในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และวันนี้ที่ประชุมมีการพูดคุยกันเรื่องการนำน้ำไปช่วยเหลือภาคการเกษตร โดยมาตรกรรมแรกที่ทำไปคือ เราได้มีการออกคำสั่งให้ปรับระดับน้ำในเขื่อนไปแล้ว
          ส่วนมาตรการที่ 2 คือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้กรมฝนหลวงฯ ไปช่วยเหลือในพื้นที่ที่ปัญหาภัยแล้ง นอกจากนี้ยังได้เร่งรัดสั่งการเพิ่มเติมให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปดูเรื่องการนำแหล่งน้ำอื่นๆ มาใช้เพื่อภาคเกษตร
          นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงปัญหาความขัดแย้งเรื่องการสร้างเขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ ว่า ได้สั่งการให้ทางพื้นที่ไปพูดคุยทำความเข้าใจกับประชาชนแล้ว ทั้งนี้ต้องเรียนว่าทุกอย่างมีความจำเป็นทั้งนั้น และมีทั้งข้อดี ข้อเสีย แต่ที่สำคัญคือการพูดคุยให้เกิดความเข้าใจและหาทางออก
          จี้ผู้ว่าฯ ระยองหาน้ำเข้าสวน
          ส่วนที่ จ.ระยอง เกษตรกรกว่า 100 คน ในพื้นที่ ต.ทุ่งควายกิน และ ต.กองดิน อ.แกลง นำโดยนายชูชาติ ภิญโญ ประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำ ต.ทุ่งควายกิน รวมตัวกันที่หน้าศาลกลางจังหวัดระยองยื่นหนังสือต่อนายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เรียกร้องให้ช่วยเหลือหลังได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากไม่มีน้ำอุปโภคบริโภคสวนผลไม้ในหลายพื้นที่ของทั้งสองตำบลได้รับความเสียหาย เพราะเป็นช่วงฤดูกาลที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาด
          นายชูชาติกล่าวว่า ในพื้นที่ ต.ทุ่งควายกิน มีเกษตรกรชาวสวนทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง สวนยางพารา รวม 4,079 ครัวเรือน มีพื้นที่ 3,824 ไร่ ปัจจุบันกำลังได้รับความเดือดร้อนไม่มีน้ำใช้อุปโภคบริโภค และในการเกษตรส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนประสบปัญหาขาดทุนเนื่องจากให้เกาตรกรชาวสวนประสบปัญหาขาดทุนเนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตกำลังออก ทั้งที่ในพื้นที่มีอ่างเก็บน้ำคลองระโอกความจุ 24 ล้านลูกบาศก์เมตร อยู่ที่เขาจุกหมู่ 8 ต.ทุ่งควายกิน อ.แกลง แต่ท่อส่งน้ำดิบที่เข้าสู่แปลงเกษตรของเกษตรกรที่กรมชลประทานใช้เป็นท่อพีวีซีคุณภาพต่ำ ทำให้เมื่อเกิดแรงดันน้ำจะเกิดปัญหาท่อแตกอยู่เสมอ เกษตรกรต้องนำงบประมาณส่วนตัวทำท่อน้ำดิบเชื่อมต่อท่อเมนของชลประทานเพื่อเข้าสวนผลไม้ของตัวเอง ดังนั้นขอให้จังหวัดจัดสรรงบประมาณมาช่วยเหลือในเรื่องนี้ด้วย
          ชาย 62 ปีเป็นลมแดดดับ
          นอกจากนี้อากาศร้อนจัดส่งผลให้ชายวัยดึกเป็นลมเสียชีวิต เมื่อเวลา 15.00 น. พ.ต.ท.วรพันธุ์ พิสุทธานนท์ พนักงานสอบสวน สภ.คูคตได้รับแจ้งเหตุมีผู้เสียชีวิตภายในซอยจามร บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 140/8 หมู่ 9 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบศพนายอุ้ม เปลี้ยงแก้ว อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 136/59 หมู่ 9 คูคต อ.ลำลูกกา ชันสูตรเบื้องต้นไม่มีร่องรอยถูกทำร้าย
          นายพนอ อายุ 38 ปี อาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างในซอยจามร ให้การว่า ขณะขี่รถรับส่งผู้โดยสารเห็นชายคนดังกล่าวล้มคว่ำหน้าอยู่ริมถนน จึงจอดรถเข้าไปช่วย คิดว่าอาจจะเป็นลมแต่พยายามเขย่าเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัว เลยโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ
          พ.ต.ท.วรพันธุ์ สันนิษฐานว่า นายอุ้มกำลังเดินกลับบ้านที่ท้ายชอย แต่เดินถึงกลางซอยด้วยอากาศที่ร้อนจัดประกอบกับอาจมีโรคประจำตัวหรือเพราะอายุมากแล้ว ส่งผลให้เป็นลมแดดและเสียชีวิจในเวลาต่อมา
          พายุฝนถล่มหัวหินบ้านพัง 64 หลัง
          เมื่อช่วงเย็นวันที่ 2 พฤษภาคม เกิดพายุฝนและลมกระโชกแรงในพื้นที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงต่อมานายพรชัย ถมกระจ่าง นายอำเภอหัวหิน นำคณะสำรวจความเสียหายในพื้นที่หมู่ 4, 6,7, และ 8 ต.ทับใต้ อ.หัวหิน ได้รับความเสียหายรวม 64 หลังคาเรือน ส่วนใหญ่หลังคากระเบื้องและสังกะสีถูกพายุพัดหายไป นอกจากนี้ต้นไม้ขนาดใหญ่หักโค่นตามริมถนนและทับบ้านเรือนชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ได้ระดมเลื่อยยนต์ตัดกิ่งไม้ใหญ่ที่หักโค่นออก เคราะห์ดีเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
          ผู้ว่าฯราชบุรีประกาศพื้นที่ประสบภัย
          เมื่อเวลา 18.00 น.เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลทุ่งหลวง อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี เข้าตรวจสอบบ้านเรือนประชาชนที่หมู่ 4 และ 6 หลังถูกพายุฤดูร้อนพัดกระหน่ำจนบ้านเรือนราษฎรพังเสียหายกว่า 10 หลัง ส่วนใหญ่ถูกต้นไม้ใหญ่ล้มทับ ส่วนหมู่ 6 ต.คูบัว ลมพายุฤดูร้อนพัดต้นไม้หักโค่นทับวัวตาย 1 ตัว นอกจากนี้แรงลมยังพัดบ้านหลังหนึ่งจนเหลือแต่เสา
          นายชนม์ชื่น บุญญานุสาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้สั่งให้ทุกพื้นที่เร่งสำรวจความเสียหายบ้านเรือนของผู้ประสบภัยทุกพื้นที่ และเตรียมประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ เพื่อนำเงินทดลองราชการของจังหวัดช่วยเหลือประชาชนที่ประสบเหตุวาตภัยโดยเร็ว
          ต้นไม้ทับป้ายจวนผู้ว่าฯกาญจน์พัง
          นายไชโย ฤทธิรงค์ ปภ.กาญจบุรี ดังกล่าวว่าเมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พายุฤดูร้อนพัดเข้ามาในพื้นที่ อ.เมือง ต้นไม้ใหญ่หักโค่นหลายจุด โดยเฉพาะในเขตเทศบาลเมืองกาญจบุรี ได้รับความเสียหายมาก เช่น ถนนหลักเมือง ต้นมะม่วงที่หน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดกิ่งหักโค่นทับป้ายชื่อจวนผู้ว่าฯ เสียหายเล็กน้อยส่วนถนนริมน้ำหน้าเมืองกาญจนบุรีต้นสนขนาดใหญ่ล้มทับซุ้มเหล็กที่สร้างคร่อมถนนได้รับความเสียหาย ส่วนถนนปากแพรกต้นมะขามใหญ่หน้าโรงพิมพ์ทองตระกูล ต.บ้านใต้ ล้มทับเชิงชายคาบ้านได้รับความเสียหายบางส่วน นอกจากนี้ป้ายโฆษณาบริเวณถนนทางแยกต่างๆ หลายพื้นที่ได้รับความเสียหายล้มลงจำนวนมาก


pageview  1205090    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved