เรียน คุณหมอชัญวลี ศรีสุโข หนูสงสัยค่ะว่าเวลาเรามีเพศสัมพันธ์กันแฟน ใส่ถุงยางทุกครั้ง แต่หนูรู้สึกว่าถุงยางที่เขาใส่มันสั้นไปคือมันไม่สุด แต่ว่าขนาดใส่ได้ สงสัยว่ามีโอกาสที่อสุจิจะเล็ดลอดออกมาได้หรือเปล่าคะ แล้วมีโอกาสตั้งครรภ์หรือเปล่าคะ แล้วจะแยกอย่างไรว่าอสุจิกับน้ำหล่อเลี้ยงมันมีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วพอถึงกำหนดที่ประจำเดือนจะมาก็ไม่มา หนูก็ซื้อเบนโลมากินอยู่ 3-5 วันหมดไป 2-3 ขวด ประจำเดือนก็มา แต่รู้สึกว่าจะมาน้อยวันกว่าที่เราเคยเป็น มันคือประจำเดือนจริงๆ หรือเปล่าคะ แต่หนูซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจก็ไม่มีการตั้งครรภ์แต่อย่างใด ขอบคุณค่ะที่ตอบคำถาม
          ตอบ ถุงยางอนามัยตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขปี 2535 ได้กำหนดประเภทของถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติ 13 ประเภท มีตั้งแต่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 44 มิลลิเมตรจนถึง 56 มิลิเมตร ความยาวไม่ต่ำกว่า 160 มิลลิเมตร แต่ในท้องตลาดเมืองไทยที่นิยมมีสองขนาด โดยมีขนาดใหญ่(L) คือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง49 มิลลิเมตรความยาว 160 มิลลิเมตร และขนาดใหญ่ยักษ์ (XL) คือขนาด 52 มิลลิเมตร ความยาว 180 มิลลิเมตร  แต่อันที่จริงขนาดใหญ่คือขนาดเล็กของคนทางยุโรป และขนาดใหญ่ยักษ์ คือขนาดธรรมดา จะเห็นว่าถุงยางอนามัยไม่มีขนาดเล็ก (S) หรือขนาดปานกลาง (M) เพราะเกรงเกิดปัญหาทางจิตใจต่อคนซื้อ สำหรับความหนาของถุงยางอนามัยนั้นกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้กำหนดไว้ แต่มีการกำหนดความความหนาโดยองค์การอนามัยโลกคืออยู่ระหว่าง 0.05-0.08 มิลลิเมตร ที่บางเฉียบที่มีขายประมาณ 0.02 มิลลิเมตร ดังนั้นหากคุณรู้สึกว่าถุงยางอนามัยสั้นไป อาจเลือกซื้อชนิดขนาดใหญ่ยักษ์ แทนขนาดใหญ่ที่ใช้อยู่
          ถุงยางอนามัยนั้นช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ดี แต่ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดไม่ดีนัก การคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพตามทฤษฎีคือ ร้อยละ 97 แต่ในความเป็นจริง 100คนที่ใช้ถุงยางอนามัย พลาดตั้งครรภ์ ตั้งแต่ 10-15 คน นั่นคือมีประสิทธิภาพแค่ร้อยละ 85-90
          ส่วนอสุจิ ก็คือตัวอสุจิที่สร้างโดยลูกอัณฑะ น้ำหล่อเลี้ยงคือน้ำเลี้ยงอสุจิ ที่สร้างจากอวัยวะสำคัญสี่อย่างคือ ลูกอัณฑะสร้างประมาณร้อยละ 5 ต่อมน้ำเลี้ยงอสุจิ (seminal vesicle) สร้างประมาณร้อยละ 65-75 ,ต่อมลูกหมาก สร้างประมาณร้อยละ 25-30 และต่อมน้ำหล่อลื่น(Bulbourethral glands)ที่อวัยวะเพศชายสร้างประมาณน้อยกว่าร้อยละ1 โดยทั่วไปอสุจิก็อยู่ในน้ำหล่อเลี้ยงรวมกันเรียกน้ำอสุจิ น้ำหล่อเลี้ยงมีหน้าที่ให้อาหารหล่อเลี้ยง ทำให้อสุจิเคลื่อนไหวได้ และป้องกันความเป็นกรดของช่องคลอดทำลายดีเอ็นเอของอสุจิ
          สำหรับประจำเดือนที่ขาดหายไป หากไม่ท้อง การกินยาขับประจำเดือนจะทำให้มีประจำเดือนมา ซึ่งเป็นฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศหญิงของยาขับประจำเดือน ไม่ใช่ประจำเดือนที่มาตามธรรมชาติค่ะ ดังนั้นอาจจะมามาก มานาน หรือมาน้อยกว่าประจำเดือนที่มาตามธรรมชาติก็เป็นไปได้ทั้งนั้นค่ะ แต่หากตั้งครรภ์ ยาขับประจำเดือนจะไม่สามารถทำให้ประจำเดือนมาได้ค่ะ