ช่วงเทศกาลแห่งความรักทุกปี มักมีมาตรการออกมาจากหน่วยงานรัฐเพื่อป้องกันเด็กใจแตก
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จึงคล้ายกับเป็นวันเสียตัวของเด็กไปกลายๆ เพราะผู้ใหญ่มักหามาตรการออกมาคุมเข้มไม่ให้เด็กไปมั่วสุมหรือมีเซ็กส์ในเทศกาลแบบนี้
เหตุผลเพราะกลัวเด็กท้องก่อนวัยอันควรและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 2 ประเด็นนี้เป็นหลัก
ความคิดของผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่เสียหาย เป็นการป้องปรามไว้ดีกว่าจะมาแก้ไขกันที่หลังซึ่งอาจสายเกินไป
แต่สำหรับความเห็นของเด็กแล้วดูจะเป็นความคิดที่ออกจะมองด้านเดียวเพราะในวันสำคัญของชาวโลกแบบนี้ วัยรุ่น เด็กนักเรียน นักศึกษาส่วนใหญ่ ไม่ได้มีความคิดทางด้านเพศอย่างเดียว
แต่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่มอบสิ่งดีให้แกนได้ ไม่จำเป็นต้องคุยกันแต่เรื่องเพศ หมกมุ่นแต่จะหาโรงแรมเข้าหรือหาจุดลับตาเพื่อพลอดรัก
ถึงแม้จะมีบ้าง แต่สิ่งเหล่านี้ถ้าเด็กได้รับการปลูกฝั่งไปในทางที่ถูก ครอบครัวไม่ได้ร้าวฉาน ครูบาอาจารย์ชี้แนะในสิ่งที่ถูกที่ควร เชื่อว่าเด็กส่วนใหญ่คงไม่ใจแตกหรือพยายามจะมีเซ็กส์อย่างที่ผู้ใหญ่ ออกกฏเหล็กมาคุมเข้มทุกปี
ประเภทส่องไฟหน้าโรงแรม ขอดูบัตรประชาชนก่อนเปิดห้อง ประกาศเคอร์ฟิวห้ามเด็กนอกบ้านเหมือนอยู่ในยุคสงครามหรือแม้กระทั่งส่งเจ้าหน้าที่ไปสอดส่องตามสุมทุมพุ่มไม้ ก็จะได้เลิกกันเสียที ลองมาตั้งวงคุยกับเด็กว่า มุมมอง ความคิดต่อเทศกาลแห่งความรักเป็นอย่างไร ชี้แนะ ชี้นำหาพื้นที่ จัดเวทีสร้างสรรค์ขึ้นมา มีกิจกรรมให้เด็กได้เรียนรู้ในเชิงบวก
ดีกว่าจะไปตั้งงบประมาณเอาไปซื้อถุงยางอนามัยแจกเด็กตามโรงเรียน หรือยื่นให้เด็กก่อนเข้าม่านรูด
แปลกใจมากที่ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สถาบันการศึกษาหรือแม้แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำลังมองว่า "วาเลนไทน์" กำลังกลายเป็นวันเสียตัวแห่งปี เหมือนกับรณรงค์ให้เด็กมีเพศสัมพันธ์โดยถูกต้องตามหลักวิชาการ
ขณะที่พ่อแม่ผู้ปกครองกำลังเป็นห่วงอนาคตลูกหลาน แต่นโยบายหรือมาตราการของรัฐไม่ได้ทำให้มองเห็นแสงสว่างหรือการแก้ไขปัญหาอยางยั่งยืน
ความคิดเชิงบวก การให้ความรู้ต่างหากที่จะทำให้เด็กเกิดความเข้าใจได้เรียนรู้มากกว่านโยบายการแจก"ถุงยางอนามัย"