ส่งซาเล้งสาดสารเคมี บำบัดยาในเรือนจำคลองเปรม หมอยันไม่บ้าน เมียเก่าโอดห่วงลูกวัย 3 ขวบ ส่วนลูกคนโตถูกจับค้ายาไอซ์
          การดำเนินคดีกับนายราชัน หรือหมู ธีรกิจนุกูล อายุ 50 ปี ผู้ต้องหาที่ใช้สารเคมีสาดคนเดินถนนกว่า 30 คน ขณะที่รถซาเล้งตระเวนเก็บของเก่าทั่วกรุงเทพฯ ความคืบหน้าเมื่อเวลา 10.00 วันที่ 12 มิถุนายน พ.ต.ท.มงคล พรมโสภา พนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร นำตัวนายราชันออกจากห้องขังมาสอบปากคำเพิ่มเติมที่ห้องสอบสวน สน.สุทธิสาร ระหว่างสอบปากคำผู้ต้องหามีสีหน้าเคร่งเครียด ต่อมานางบัวลอย เหลือสุข อายุ 46 ปี อดีตภรรยานายราชัน เดินทางมาเยี่ยม
          นางบัวลอยให้สัมภาษณ์ว่า เลิกกับนายราชันประมาณ 5 ปี แต่ยังติดต่อกันบ้างเป็นครั้งคราว กระทั่งรู้ข่าวว่าอดีตสามีถูกจับกุมเพราะเอาสารเคมีสาดชาวบ้านจนเป็นข่าวดังส่วนรายละเอียดอื่นๆ ไม่ทราบเลย อย่างไรก็ตาม รู้สึกสงสารลูกชายวัย 3 ขวบ ที่เกิดกับภรรยาใหม่ จากนี้ไปไม่รู้ว่าเด็กจะอยู่กินยังไง
          จากนั้นเวลา 15.00 น. พ.ต.ท.มงคลนำตัวนายราชันขึ้นรถบรรทุกผู้ต้องหาไปส่งฟ้องอัยการศาลแขวางพระนครเหนือ
          พ.ต.ท.ธงชนะ หาญกิตติกาญจนา รองผกก.สส.สน.สุทธิสาร กล่าวว่า สั่งให้พนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร นำตัวนายราชันส่งฟ้องอัยการศาลแขวงพระนครเหนือ ในข้อหาทำร้ายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสพยาเสพติด มีโทษจำคุก 4 ปี ปรับ 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
          ทั้งนี้ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา ตำรวจได้ประสานจิตแพทย์จากสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข มาตรวจสอบและสอบถามนายราชัน โดยแพทย์ระบุไม่ได้ว่าเป็นโรคจิต หรือสติไม่ดี เนื่องจากผู้ต้องหาเสพยาเสพติดมานาน 5-6 ปี อาจทำให้เกิดอาการหลอน หรือคลุ้มคลั่งช่วงเสพยาเสพติด ดังนั้นเจ้าหน้าที่จำนำหลักฐานจากจิตแพทย์ประกอบในสำนวนคดีด้วย
          พ.ต.ท.ธงชนะกล่าวอีกว่า ขณะที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.สุทธิสาร นำกำลังเข้าค้นห้องพักของนายราชันในซอยอินทามระ 39 พบนายเอก ธีรกิจนุกุล อายุ 27 ปี ลูกชายคนโตของนายราชัน กลับมาที่ห้องพักพอดี ตำรวจจึงขอตรวจค้นร่างกายและพบยาไอซ์ 2 ถุง น้ำหนัก 1.8 กรัม จึงควบคุมตัวมาพร้อมกันตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยพนักงานสอบสวนได้นำส่งฟ้องศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 12 มิถุนายน
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.อรุณ อุ่นเมตตาอารี พนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร นำตัวนายเอกผู้ต้องหาคดีมียาไอซ์ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย มายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 12-23 มิถุนายนนี้ เนื่องจากต้องสอบปากคำพยานอีก 2 ปาก และรอผลการตรวจพิสูจน์ยาเสพติด รวมทั้งตรวจประวัติอาชญากร และอื่นๆ โดยท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนี ทั้งนี้ศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้
          ส่วนที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ถนนรัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร ได้ควบคุมตัวนายราชัน คนขี่รถซาเล้งมือไล่สาดสารเคมี ในฐานะผู้ต้องหาคดีเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) ยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาส่งตัวนายราชัน เข้าบำบัดรักษาอาการติดยาเสพติดที่เรือนจำกลางคลองเปรม ศาลพิจารณาแล้วอนุญาต
          ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ตลอดระยะเวลาที่พนักงานสอบสวนคุมตัวมายื่นคำร้องขอส่งตัวไปบำบัดรักษา นายราชันมีสีหน้าเรียบเฉย โดยนายราชันกล่าวว่า ขอยอมรับผิดที่ได้สาดสารเคมีใส่ผู้อื่นกว่า 30 คน ระหว่างนี้หากศาลหรือตำรวจจะนำไปบำบัดรักษาก็ยินดี หลังจากนี้พร้อมจะปรับตัวเป็นคนดี อย่างไรก็ตามเพิ่งทราบว่าลูกชายถูกตำรวจดำเนินคดีข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองด้วย ทั้งนี้มีลูกอีก 2 คนกำลังเรียนอยู่ จึงกังวลเรื่องระยะเวลาที่ต้องอยู่เรือนจำจะนานเท่าไร ส่วนภรรยาที่มายื่นคำร้องขอประกันตัว ก็ไม่ได้เจอกัน
          ขณะเดียวกัน พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสุขภาพ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะมีสถานการณ์ของผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากการใช้ยาเสพติด จนเกิดภาวะทางสมองทั้งหลอนประสาท กล่อมประสาท และมีหลายรายที่ป่วยจิตเภท จนซิมเศร้า และต้องใช้ยารักษาจำนวนไม่น้อย ส่วนเรื่องการทำร้ายผู้อื่นในลักษณะของผู้ชายที่สาดสารเคมีเกิดขึ้นไม่บ่อย การกระทำของชายดังกล่าวเป็นการกระทำที่อุกอาจ และสะสมความแค้มในสังคมในผู้ป่วยจิตเภททั่วไปไม่สามารถจะดำเนินการได้ต่อเนื่องนัก แสดงว่าอาหารอาจเข้าข่ายเก็บกด และมีความคิดที่ไม่เป็นระบบ ขาดการไตร่ตรองจริยธรรม และขาดความกลัวต่อการกระทำที่ผิดกฎหมาย
          "จากพฤติกรรมยืนยันว่า ไม่ได้ป่วย แต่เกิดจากการสะสมความเกลียดชังมานาน จึงก่อความรุนแรงที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน และส่วนมากของผู้ที่จัดความคิดไม่เป็นระบบ มักขาดคุณธรรมเสมอ และฟุ้งซ่าน ขณะเดียวกันฤทธิ์จากยาเสพติดก็ส่งผลให้สมองควบคุมเหตุผลคลายตัว กลุ่มนี้จะทำผิดกฎหมายโดยไม่เกรงกลัวบทลงโทษ" พญ.อัมพรกล่าว