อาการไอ และหายใจติดขัด ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก สวมแว่นตา บ้างดมยาดม

          ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เหนือชายแดนไทยขึ้นไปทางฝั่งประเทศลาวและพม่า ยังคงพบเห็นการเผาวัชพืชจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังทราบจากชาวบ้านในแถบนั้นว่า ตามชายแดนประเทศเพื่อนบ้านมีไฟป่าเกิดขึ้นแทบทุกวัน โดยไม่มีใครเข้าไปดูแล ส่งผลให้แกิดหมอกควันสะสมเป็นจำนวนมาก

          ส่วนที่ จ.แพร่ นับว่าเป็นวันที่ 5 ติดต่อกันแล้ว ที่ได้รับผลกระทบจากหมอกควันปกคลุมไปทั่วทั้งจังหวัด แม้ว่าเมื่อคืนวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมาจะมีฝนตกลงมาเล็กน้อย แต่สถานการณ์ก็ยังไม่บรรเทา ล่าสุด นายเกษม วัฒนธรรม ผวจ.แพร่ ประกาศขอความร่วมมือประชาชนให้งดเผาหญ้าริมทาง เผาป่า ขยะ เศษวัสดุการเกษตรและกิ่งไม้ เพื่อลดปัญหาหมอกควัน

          น.พ.สุรินทร์ สุมนาพันธ์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.แพร่ กล่าวว่า ได้รับรายงานสถานการณ์มลพิษทางอากาศจากกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่าผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศ ตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ.เป็นต้นมา จ.แพร่ มีปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ สูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน คือ 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จึงแจ้งเตือนประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยโรคปอดโรคหัวใจ รวมทั้งเบาหวาน ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ผู้สูงอายุ และเด็ก ดูแลสุขภาพตนเอง หลีกเลี่ยงกิจกรรม หรือออกกำลังกายนอกอาคาร หากจำเป็นควรมีผ้าปิดปากปิดจมูก หรือสวมแว่น เพื่อป้องกันผลกระทบจากหมอกควัน

          ขณะที่ จ.แม่ฮ่องสอน มีหมอกควันมากเช่นกัน ทั้งใน อ.เมืองแม่ฮ่องสอน และอำเภออื่นๆจากการตรวจวัดของสถานีอุตุนิยมวิทยา จ.แม่ฮ่องสอน พบว่าทัศนวิสัยในการมองเห็นต่ำสุดเพียง10 เมตร หรือ 0.10 ก.ม. ส่งผลให้การจราจรในตัวเมืองติดขัดเป็นบางช่วง เนื่องจากผู้ขับขี่ยานพาหนะมองเห็นทางไม่ชัดเจน และหวั่นเกรงว่าจะกระทบต่อเครื่องบิน ที่ไม่สามารถขึ้นและลงจอดที่ท่าอากาศยานแม่ฮ่องสอนได้ เพราะทัศนวิสัยการมองเห็นอยู่ที่ 2 ก.ม.เท่านั้น

          ด้าน จ.ลำพูน นายสุรชัย ขันอาสา ผวจ.ลำพูน กล่าวว่า ตรวจพบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินมาตรฐาน ที่สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ สนามกีฬาอบจ.ลำพูน โดยค่ามาตรฐานอยู่ที่ 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่ที่ จ.แพร่ วัดได้ 194.17 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เป็นอันดับ2 รองจาก จ.ลำปาง ที่วัดได้ 235.33 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤต

          ผวจ.ลำพูนกล่าวว่า สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบพื้นที่ จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว และเจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งขอความร่วมมือสื่อทุกประเภทในพื้นที่ เพิ่มความถี่ในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ และสั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน เพิ่มความระมัดระวังในการประกอบกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยเช่น การใช้วัตถุไวไฟ การเผาขยะ เศษใบไม้ และหญ้าแห้ง ตลอดจนชี้แจงเกษตรกรในการเตรียมพื้นที่เพาะปลูกด้วยวิธีไถกลบวัชพืชแทนการเผา