ศ.แอน มิลล์ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณสุขมหาวิทยาลัยลอนดอน สหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า หลังจากประเทศไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพ ยังมีเรื่องที่ต้องดำเนินการต่อ คือ การสร้างระบบให้มีธรรมาภิบาลที่ปราศจากการแทรกแซงและป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มทุน กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ รวมถึงการเมืองที่พยายามเข้ามาแทรกแซงจนทำให้ระบบบิดเบี้ยวไป และเพิ่มบทบาทของภาคประชาชน รวมทั้งต้องเป็นอิสระต่อกระทรวงสาธารณสุข เพื่อการจัดบริการสุขภาพแก่ประชาชนด้วย
"การลดความเหลื่อมล้ำของ 3 กองทุนสุขภาพไทย คือ ประกันสังคมสวัสดิการข้าราชการ และหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทองถือว่ามีความสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันทั้ง 3 กองทุนมีความแตกต่างกันมากซึ่งการลดความเหลื่อมล้ำไม่ได้หมายถึงการรวมกองทุน แต่อาจทำให้ทั้ง3 กองทุน มีวิธีการจัดการที่เหมือนกัน สิทธิประโยชน์ไม่ต่างกัน เพื่อไม่ให้ผู้รับบริการเกิดการถูกเลือกปฏิบัติ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆความแตกต่างระหว่าง 3 กองทุนจะมีมากขึ้น และในอนาคตผู้ประกันตนที่เกษียณอายุจากประกันสังคมจะย้ายเข้ามาอยู่บัตรทอง ก็ยิ่งจะทำให้โครงสร้างประชากรของบัตรทอง ต้องรองรับผู้สูงอายุมากขึ้น ซึ่งทำให้ต้องมีการเพิ่มงบประมาณเพิ่ม จึงต้องคิดระบบที่ไม่ให้เกิดความแตกต่างเหลื่อมล้ำกันมาก" ศ.แอน มิลล์ กล่าว
ศ.แอน มิลล์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ต้องสร้างการมีส่วนร่วมกับหน่วยบริการภาคเอกชน ซึ่งสปสช.ควรมีการออกแบบให้หน่วยบริการภาคเอกชน เช่น คลินิกเอกชน ร.พ.เอกชน เข้ามาร่วมเป็นหน่วยบริการให้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันพบเห็นเฉพาะในเขตเมืองเท่านั้น ขณะที่ในเขตชนบทมีส่วนร่วมจากภาคเอกชนน้อยมาก ดังนั้นเรื่องนี้จะเป็นความท้าทายใหม่ของสปสช.ที่จะทำอย่างไรให้การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนมีความสมดุลระหว่างเขตเมืองและชนบท