"วาเลนไทน์"วันแห่งความรัก วันอันแสนสุขของคนที่มีรัก จะมองไปทางไหนบรรยากาศรอบตัวก็เต็มไปด้วยสีชมพู
แต่สำหรับคนโสด "วาเลนไทน์"อาจจะออกสีหม่นๆ และอยากให้ผ่านพ้นเดือนแห่งความรักนี้ไปเร็วๆ
หากมองในมุมบวก มองโลกอย่างเข้าใจ"วาเลนไทน์" คือวันแห่งความรักของคนทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนมีคู่ คนไร้คู่ คนที่กำลังมองหาคู่แม้แต่คนที่เพิ่งผ่านพ้นชีวิตคู่ ก็ร่วมมีความสุขสนุกไปกับวันแห่งรักนี้ได้
"วาเลนไทน์ คนส่วนใหญ่มองถึงความรักของหนุ่มสาว แต่รักมีหลายรูปแบบ และความรักที่เป็นรูปธรรมเริ่มจากการ 'ให้' คนที่อยู่ในกลุ่มเหงา เศร้าถูกทอดทิ้งไม่สมหวังจากความรักอกหัก รวมถึงสาวโสดทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะใดก็ตามวาเลนไทน์ปีนี้อยากให้ทบทวนว่าเรารักตัวเองเป็นหรือยัง ให้คุณค่า ให้สิ่งดีๆ กับตัวเองหรือยัง คู่หนุ่มสาวเองต้องการเติมเต็มด้วยอีกคนที่ให้เขาแล้วมีความสุข ขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งก็ให้ได้ด้วยการเติมคุณค่าให้กับตัวเอง เคารพและมองเห็นความสามารถของตนเองแล้วหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้กับคนอื่นได้" ดร.จิตราดุษฎีเมธาประธานโครงการศูนย์พัฒนาความสุขมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าว
"เพราะรักมีทั้งมุมให้และมุมรับ เมื่อใดก็ตามที่เรารอให้คนอื่นมารัก หรือรอที่จะรับจากคนอื่น สิ่งที่เกิดขึ้นคือฉันรู้สึกเหงาจัง ฉันถูกทอดทิ้ง ฉันไม่มีใคร ฉันอยู่คนเดียว ฉันไม่เหลือใครแล้ว เพราะมัวแต่รอรักและรอคอยที่จะรับ"
ดร.จิตรา กล่าวต่อว่า การสร้างความรักของตนเองให้กับคนอื่นด้วยการให้ เริ่มต้นจากให้สิ่งดีกับตัวเอง ให้รอยยิ้ม อาหาร หนังสือ หรืออื่นๆ เพื่อเติมสุขให้ตัวเอง เหมือนหนุ่มสาวที่ให้ของขวัญ ให้ช็อกโกแลตแก่กัน
มากไปกว่านั้นให้นึกถึงใครสักคนและให้สิ่งนั้นกับคนที่อยากให้ เมื่อใดก็ตามที่เราให้ความรักกับคนอื่นก่อน ไม่รอที่จะรับรักหรือรอความรักเข้ามาหา คุณค่าของการให้ที่ได้รับกลับมาคือความรู้สึกดีๆ ซึ่งต่อยอดได้ ถ้าคนนั้นรู้สึกดีกับเรา เห็นคุณค่าในตัวเราจากการที่เราเห็นคุณค่าในตัวเอง รักในรูปแบบต่างๆ ก็เกิดขึ้น เช่นรักในเชิงเพื่อน รักเพราะความห่วงใย จึงเป็นเพื่อนที่ไม่รู้สึกถูกทอดทิ้งหรือไม่มีใคร
คำว่า "ไม่มีใคร"เป็นกฎเกณฑ์ของคนๆ นั้นที่ตั้งไว้ผูกมัดตัวเอง หากเหลียวมองไปรอบตัวมีคนมากมาย ระหว่างคนที่ไม่มีใครกับคนที่ไม่มีใครมาพบกันก็จะเป็นคนที่มีใคร
เหมือนคนถูกทอดทิ้งได้ให้กับคนที่ถูกทอดทิ้งด้วยกัน คนอกหัก ไม่มีแฟนก็สามารถนำเอาความรู้สึกที่อยากให้มอบให้กับคนอื่นได้ เช่น ให้กับเด็ก คนชรา สามารถเติมเต็มความรู้สึกรักได้
"ความรักที่พลาดคือรอ ฉะนั้นอย่า 'รอ'เปลี่ยนเป็น 'เริ่ม'ที่เข้าหาและเริ่มให้ก่อนสุดท้ายความห่วงใย ความรู้สึกดีๆ อาจเปลี่ยนเป็นความรัก"
ดร.จิตรากล่าวต่อว่า คนอกหักอย่ามองว่าจะไม่รักใครอีกแล้ว แต่ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ผ่านมาว่าเรารอแต่รัก เร่งให้เขามารัก หรือร้ายกับเขาหรือเปล่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือ "รันทด"เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มให้และรุกในการเป็นผู้ให้ที่ดีคือการสร้างสัมพันธ์ ความรักเกิดขึ้นได้จากการสร้างสัมพันธ์ ที่นำไปสู่มิตรภาพซึ่งสานต่อไปเป็นความรัก
"วันแห่งความรัก คือวันที่ให้ความรู้สึกที่ดีต่อกัน หาคนหนึ่งคนที่เราจะให้ความรู้สึกดีๆ แต่อย่าลืมหนึ่งคนที่ให้แน่ๆ คือตัวเอง ถ้าสามารถให้กับคนที่เรารู้สึกว่าเขามีคุณค่ากับเรา เช่น พ่อแม่ ครู เพื่อน กลับไปขอบคุณหรือเซอร์ไพรส์เขากับสิ่งดีๆ ที่เขาให้เรามา แล้วเราจะรู้สึกได้ว่าความรักที่ได้รับกลับมานั้นน่าตื้นตันและยิ่งใหญ่
อย่ารอให้ความรักวิ่งเข้ามาหา จงเริ่มที่จะให้ความรักกับคนรอบข้างเพราะรักไม่มีรูปแบบ ไม่มีข้อจำกัด ขณะเดียวกันเราต้องรักตัวเองให้เป็น หาคุณค่าของตัวเองให้เจอ และรู้สึกดีกับตัวเองให้ได้"
ด้าน น.พ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัยจิตแพทย์และกรรมการผู้จัดการโรงพยาบาลมนารมย์ ให้คำแนะนำหนุ่มสาวโสดและผู้ผิดหวังในรักว่า เมื่อเกิดความรู้สึกเหงาต้องหากิจกรรมทำร่วมกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว ปรับมุมมองความคิดทัศนคติเป็นแกนวิธีมองเรื่องความรัก เพราะรักมีหลายแบบส่วนมากคนเรามุ่งเรื่องของชายหญิงมากกว่า การประโคมเรื่องความรักในเทศกาลแห่งความรักนี้ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของธุรกิจที่แทรกซ่อนเข้ามาเพื่อหวังผลทางการค้า
"การอยู่คนเดียวไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ปัจจุบันผู้หญิงมีความสามารถ มีทางเลือกมากกว่าในอดีตที่ต้องเป็นแม่บ้าน แต่งงานออกเรือนมีครอบครัวการมีคู่ครอง แต่งงาน ไม่ได้รับประกันว่าชีวิตคู่จะมีความสุข เพราะมีคนจำนวนมากที่ชีวิตคู่ล้มเหลว ทุกข์ใจก็มี ดังนั้นการมีคู่เป็นทั้งสุขและทุกข์เช่นกันกับการอยู่คนเดียว แต่เราสามารถทำให้ตัวเราเองมีความสุขได้"
น.พ.ไกรสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า พื้นฐานของความรักคือทำให้รู้สึกมีคุณค่ามีความสำคัญหรือเพื่อสนองความต้องการ จึงเกิดความสุข ซึ่งมีความเสี่ยงที่ไม่สามารถหาความสุขได้ด้วยตัวเอง เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าใจและรู้จักรักมองเห็นคุณค่าในตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพิงคนอื่นและสร้างสิ่งนั้นได้ด้วยตัวเอง ก็จะสุขง่าย ทุกข์ยาก
"ขณะเดียวกันถ้าเราลดเวลาที่ใช้กับตัวเราเอง หันมาใส่ใจคนรอบข้างให้มากขึ้น ทุกคนจะมีความสุขมากขึ้น สังคมที่เอาใจใส่กันก็จะน่าอยู่มากขึ้นเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ต่างจากปัจจุบันซึ่งมีแต่คนมองเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว"