นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า พฤติกรรมการบริโภคอาหารดิบโดยเฉพาะหอยน้ำจืดจะทำให้เกิดโรคชนิดหนึ่ง คือ โรคปวดศีรษะจากพยาธิ หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จากการรับประทานตัวอ่อนพยาธิ โดยโรคชนิดนี้ เกิดจากการกินไข่พยาธิที่มักจะอยู่ในหอยน้ำจืด เช่น หอยโข่ง หอยขม หอยเชอรี่ หอยทาก และยังพบได้ในปลา กุ้ง ปูน้ำจืด ที่อยู่ในแหล่งน้ำเดียวกัน นอกจากนี้ ยังพบได้ในตะกวด ที่ปัจจุบันมีความเชื่อผิดๆ นำมากินกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งการกินอาหารประเภทนี้ สุกๆ ดิบๆ หรือใช้เขียงเดียวกับที่ทำอาหารประเภทนี้ ก็ทำให้พยาธิตัวอ่อนเข้าสู่ร่างกายได้ โดยพยาธิจะเข้าสู่เส้นเลือดและไปอาศัยในอวัยวะต่างๆ ซึ่งความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับปริมาณพยาธิและตำแหน่งที่พยาธิเข้าไปอยู่ โรคดังกล่าวจะไม่มียารักษาแต่สามารถป้องกันได้ด้วยการกินอาหารสุก ล้างมือ แยกเขียง เป็นต้น
          "โรคที่เกิดจากพยาธิปัจจุบันพบได้ใน 30 ประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่จะพบในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีผู้ป่วยสะสมประมาณ 2,800 ราย ซึ่งไทยพบผู้ป่วยสะสมประมาณ 1,380 รายในช่วงกว่า 10 ปี หรือคิดเป็นร้อยละ 48 ของผู้ป่วยทั้งหมด พบมากสุดในภาคอีสานร้อยละ 80 รองลงมาในภาคเหนือ และภาคกลาง ซึ่งที่พบว่าไทยมีตัวเลขผู้ป่วยสูง เป็นเพราะระบบการรายงานโรคของไทยเป็นไปตามมาตรฐานสากลมีการรายงานโรคอย่างต่อเนื่อง" นพ.สุวรรณชัยกล่าว
          นพ.สุวรรณชัยกล่าวว่า สำหรับอาการป่วย พบว่าถ้าได้รับตัวอ่อนพยาธิจำนวนมากจะมีอาการรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อตัวอ่อนไปที่ประสาทส่วนกลางจะทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เนื้อสมองเสียหายจากการเคลื่อนตัวของพยาธิ หรือเกิดความเสียหายจากการที่เม็ดเลือดขาวพยายามทำลายพยาธิทำให้เกิดการอักเสบ ทั้งนี้ ผู้ป่วยจะมีอาการนำคือ ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน มีปัญหาในการมอง หายใจไม่สะดวก อัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งหมายถึงอาการเริ่มเข้าขั้นโคม่า อาการของการปวดหัวจากพยาธิ จะต่างจากปวดหัวปกติคือ กินยาไม่หาย ก้มคอไม่ได้ มีประวัติการกินดิบๆ ระยะฟักตัวตั้งแต่ได้รับพยาธิจะอยู่ที่ประมาณ 2-4 สัปดาห์ขึ้นอยู่ที่ปริมาณพยาธิ