จันทร์รอน
หากเราเงี่ยหูฟังเสียงรอบข้าง จะได้ยินการเรียกร้องเรื่องเวลาให้แก่ครอบครัวอยู่เสมอข้อสรุปที่ว่า เมื่อครอบครัวอ่อนแอ ลูกหลานว้าเหว่กลับมาพบบ้านที่ว่างเปล่า ไม่มีผู้ใหญ่พ่อแม่สั่งสอนหรือสนทนากับลูกทางโทรศัพท์มือถือ
กว่าพ่อแม่จะกลับบ้านลูกก็หลับไปแล้ว ตื่นมาอีกทีลูกต้องรีบเร่งไปโรงเรียน
แทบไม่รู้จักกันในรายละเอียดของชีวิตในโลกแบบนี้มีข้อสรุปให้ได้ฟังเสมอว่า เด็กจะถูกชักนำไปในทางหลงผิดได้ง่ายๆ
แต่ในโลกของมนุษย์เงินเดือน หรือแม้กระทั่งนักธุรกิจ เกือบร้อยทั้งร้อย เมื่อมีครอบครัวแล้วหนีไม่พ้นที่จะต้องเจอสภาพแบบนี้
ยิ่งชีวิตมีความก้าวหน้าในอาชีพการทำงานมากเท่าไร เวลาที่จะให้กับครอบครัวก็น้อยลงตามนั้นเพราะเมื่อมีตำแหน่งหน้าที่ที่สูงขึ้น หมายถึงความรับผิดชอบในงานสังคม ทั้งกับคนในบริษัทและนอกบริษัทสูงขึ้นด้วย
จะทำตัวเป็นคนคับแคบ ตกเย็นกลับบ้านไม่ได้ เพราะนั่นไม่ใช่เส้นทางของผู้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
สังคมเมื่อเต็มไปด้วยครอบครัวที่ปล่อยให้เด็กว้าเหว่จัดการชีวิตไปตามยถากรรม ย่อมเป็นสังคมที่น่ากังวล
จึงเกิดการรณรงค์ให้ช่วยกันดูแลครอบครัวให้เข้มแข็ง
แต่จะทำอย่างไร เมื่อโลกยุคนี้ทั้งพ่อทั้งแม่จะต้องออกไปทำงานนอกบ้าน จึงจะเป็นครอบครัวที่มีกินมีใช้
เหมือนเสียงเรียกร้องกับความเป็นจริงเดินสวนทางกันอยู่ตลอด
ที่ควรจะเป็นกับที่เป็นจริงไม่มีทางที่จะเดินร่วมทางเดียวกันได้
แต่นั่นไม่เสมอไปมีบางครอบครัวคิดใหม่พ่อเงินเดือน 20,000 บาท แม่เงินเดือน 15,000 บาท
รวมแล้ว 35,000 บาทการทำงานสองคนมีรายได้มากกว่าก็จริง แต่รายจ่ายต้องเพิ่มขึ้นด้วย มีสารพัดเรื่องตามมากับรายได้ที่เพิ่มขึ้น ค่าเสื้อผ้า ค่างานสังคม ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ สารพัด แม้แต่เรื่องภาษี
หรือกระทั่งรายจ่ายที่ต้องให้กับลูกเพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนความรู้สึกผิดในใจที่ไม่ได้ดูแล อาจจะเป็นเงินหรือข้าวของเครื่องใช้ ให้เพื่อแสดงให้เห็นความรักความผูกพัน ความรับผิดชอบ
บางครอบครัวจึงคิดใหม่ว่า ทำงานคนเดียวแม้รายได้จะลดลง แต่รายจ่ายก็ลดลงไปไม่น้อย
แม้จะยังมีส่วนต่างแต่เมื่อแลกกับการสร้างความอบอุ่นให้ครอบครัว
คิดสะระตะแล้ว ก็คุ้มที่จะแลก
แต่นั่นเป็นเรื่องของการเอาอนาคตครอบครัวเป็นตัวตั้ง เมื่อเงินที่มามากขึ้นไม่คุ้มกับการทำให้ครอบครัวอ่อนแอ ก็เลือกที่จะรับน้อยลง แล้วมาจัดการกับเรื่องรายจ่าย
เพียงทว่าครอบครัวที่เป็นอย่างนั้นมีน้อยมากเพราะสังคมประเทศเราให้เกียรติ ให้ราคากับชีวิตนอกบ้าน
ให้ราคากับคนทำงานนอกบ้าน คนที่เป็น "แม่บ้าน"จึงรู้สึกว่าไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีความภาคภูมิใจในชีวิต
ยิ่งยุคที่สิทธิสตรีเป็นเรื่องที่เรียกร้องกันมากมายผู้หญิงเก่งถูกผูกขาดไว้ให้กับผู้หญิงที่ทำงานบริหารได้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ชาย
ไม่เหลือพื้นที่ผู้หญิงเก่ง ไว้ให้ "แม่บ้านที่เลี้ยงลูกให้เติบโตอย่างมีอนาคตที่ดี"
ประเทศเราจึงมี "ผู้หญิงเก่ง" เต็มไปหมดแต่ "แม่ที่รอให้ความอบอุ่นลูกอยู่ที่บ้าน" ลดน้อยลงทุกที