การประชุมประจำปีประเทศเครือข่ายนวัตกรรมการสาธารณสุขมูลฐานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือซีพิน(SEAPIN : South-East Asia Primary Health Care Innovations Network) ซึ่งองค์การอนามัยโลกสนับสนุนให้จัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยระหว่างวันที่ 21-23 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมเซ็นจูรี ปาร์ค มี 8 ประเทศสมาชิก ได้แก่ บังกลาเทศ เนปาลภูฏาน ไต้หวัน อินเดีย ศรีลังกา อินโดนีเซียและไทย ร่วมพิจารณาร่างธรรมนูญและร่างปฏิญญากำหนดทิศทางการพัฒนางานด้านสาธารณสุขมูลฐาน เพื่อร่วมผลักดันให้เป็นนโยบายของแต่ละประเทศสมาชิก และเปิดโอกาสให้แต่ละประเทศนำเสนอนวัตกรรมด้านสาธารณสุขมูลฐาน
สำหรับประเทศไทย นพ.วิชัย เทียนถาวรผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) บอกว่า ประเทศไทยได้นำเสนอความสำเร็จในการดำเนินโครงการสาธารณสุขมูลฐาน ซึ่งเป็นงานที่ใช้ภาคประชาชน หรืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เข้ามามีส่วนในการพัฒนาสุขภาพของประชาชน ตั้งแต่ปี 2521 รวมกว่า 30 ปี ทำให้ขณะนี้ประเทศไทยมีอสม.มากที่สุดในโลกประมาณ 1 ล้านคน
"ในอดีตจะเน้นการจัดบริการสุขภาพให้ประชาชนในหมู่บ้านเข้าถึงบริการได้ง่าย แต่นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นเน้นการพัฒนาศักยภาพของประชาชนเพื่อดูแลสุขภาพตัวเองในรูปของกลุ่มเครือข่ายเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ขณะนี้ในแต่ละหมู่บ้านมียุทธศาสตร์พัฒนาสุขภาพชัดเจน ทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลก และประเทศสมาชิกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือเซียโร่ (SEARO)สนับสนุนให้ไทยเป็นเลขาธิการของเครือข่ายนวัตกรรมการสาธารณสุขมูลฐานในภูมิภาค มีวาระ 3 ปี ซึ่งงานสาธารณสุขมูลฐานนี้จะนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาของสหัสวรรษขององค์การสหประชาชาติ (Millennium Development Goals) ในปี 2558" นพ.วิชัยกล่าว และว่า นอกจากนี้ สธ.ยังส่งเสริมให้นำภูมิปัญญาด้านการแพทย์พื้นบ้านและสมุนไพรมาใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน ซึ่งขณะนี้ใช้ในระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และโรงพยาบาลชุมชน เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทย เป็นที่พึ่งสุขภาพของชาวบ้านที่ใกล้ตัว เช่น ใช้สมุนไพรขมิ้นชันแก้ท้องอืด ฟ้าทลายโจรแก้ไข้ การนวดบรรเทาปวดเมื่อย ฯลฯ ซึ่งสามารถเป็นต้นแบบการพัฒนางานสาธารณสุขมูลฐานแก่ประเทศสมาชิกได้ เนื่องจากในแต่ละประเทศสมาชิกมีการแพทย์พื้นบ้านอยู่แล้ว
ด้าน นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลาผู้อำนวยการสถาบันพัฒนานวัตกรรมการสาธารณสุขมูลฐานฯและเลขาธิการเครือข่ายนวัตกรรมการสาธารณสุขมูลฐานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่าหลังจากนี่จะมีทีมที่ปรึกษาขององค์การอนามัยโลก 1 ชุด ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการประสานงานในภูมิภาค จัดทำร่างปฏิญญาและธรรมนูญ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในแต่ละประเทศได้ นอกจากนี้ ยังได้จัดทำระบบข้อมูล เว็บไซต์ และแผนการดำเนินงาน 3 ปี เพื่อรับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การอนามัยโลก ซึ่งจะต้องจัดประชุมเครือข่ายและรายงานผลการดำเนินงานทุกปี
ขณะเดียวกัน ได้เชิญอีกกว่า 10 องค์กรอาทิ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยนเรศวรเป็นต้น ร่วมระดมความคิดเห็นเพื่อจัดตั้งเครือข่ายนวัตกรรมสาธารณสุขมูลฐานของไทยไปพร้อมกันด้วย