"เครื่องเสียง"เป็นสิ่งที่ให้ทั้งความบันเทิงการรับข้อมูลข่าวสารในการขับรถ แต่ในผลดีถ้าใช้เกินความจำเป็นก็อาจจะเป็นผลร้ายได้
ตามปกติขณะรถวิ่งนั้นย่อมมีเสียงรบกวนจากภายนอก ทั้งจากเครื่องยนต์ เสียงยางสัมผัสพื้นถนนเสียงเศษดินกรวดต่างๆ การจะเอาชนะเสียงเหล่านี้จะต้องเร่งความเข้มของเสียงให้ดังมากขึ้นเพื่อกลบเสียงจากภายนอก
การเร่งเสียงเพิ่มขึ้นนี่แหละเป็นบ่อเกิดของปัญหา เพราะเมื่อเกิดอยู่ในสภาวะฉุกเฉินการเปิดเครื่องเสียงดังกว่าปกติ ถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เช่นการได้ยินเสียงแตรจากเพื่อนร่วมทาง ไปจนถึงเสียงของความผิดปกติต่างๆ ของระบบต่างๆ ของรถ ส่งผลต่อการแก้ไขสถานการณ์
ทั้งนี้ จากการวิจัยของ ป๊อปปูลัส (Populus) ในเกาะอังกฤษ มีผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 2,000 คนเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา พบว่า ขาร็อกหลังพวงมาลัยมักจะมีพฤติกรรมขับขี่เร้าร้อนหลังได้ฟัง ในขณะที่คนขับฟังเพลงคลาสสิกและเพลงป๊อป ขณะขับขี่จะช่วยให้ผ่อนคลาย เช่นเดียวกันกับเพลงแจ๊ซ
ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 ระบุว่าเสียงของรถยนต์สามารถใช้งานบนถนนปัจจุบัน ต้องมีระดับเสียงที่ต่ำกว่า 100 เดซิเบลเอ ในระยะ 0.5 เมตร หมายความว่า หากต้องการกลบเสียงรถยนต์อาจจะต้องเร่งเสียงวิทยุมากถึง 100 เดซิเบลเลยทีเดียว
ตามปกติแล้ว เสียงที่เราได้ยินและเริ่มเป็นอันตรายต่อโสตประสาททางด้านการได้ยินของหูนั้นจะมีระดับอยู่ที่ 85-90 เดซิเบล ถ้าเสียงมากกว่า 140
เดซิเบล อาจจะเสี่ยงหูดับถาวร คิดง่ายๆ ว่าเร่งเสียงต้องเอาชนะเสียงรถมีอย่างมากสุด 100 เดซิเบลการเอาชนะได้ต้องเพิ่มความเข้มของเสียงขั้นต่ำอีก20 เดซิเบล นั่นหมายถึง คุณต้องใช้เสียงมากที่สุดถึง120 เดซิเบลในรถธรรมดาทั่วไปในการฟังเพลงให้สะใจวัยโจ๋
เสียงดังเกินขนาดย่อมไม่ส่งผลดีทั้งต่อความปลอดภัยของผู้อื่นบนถนน เช่นเดียวกับสุขภาพของผู้ขับขี่ แต่อาจจะเลี่ยงไม่ได้ในการผ่อนคลายขณะขับขี่ด้วยเสียงเพลง ขับรถเย็นนี้ลองลดเสียงลงสัก
นิด เพื่อหูที่ได้ยินต่อไปอีกยาวนาน
ที่มา http://auto.sanook.com