ผลการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสารควบคุมบุหรี่(เจอร์นัล ออฟ โทแบคโก คอนโทรล) เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่ากฎหมายต่อต้านการสูบบุหรี่ในหลายๆ ประเทศของทวีปยุโรปทำให้สิงห์อมควันจำนวนมากเลิกสูบบุหรี่ที่บ้านและลดการสูบบุหรี่ลง

          ในการศึกษาวิจัยชิ้นนี้ ทีมแพทย์ผู้วิจัยได้พินิจพิเคราะห์ผลสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ในฝรั่งเศส เยอรมนี ไอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ทั้งก่อนหน้าและหลังจากที่กฎหมายห้ามการสูบบุหรี่ในสถานที่ทำงาน ร้านอาหารและสถานที่สาธารณะอื่นๆ จะมีผลบังคับใช้เมื่อทศวรรษที่แล้ว

          โดยแนวโน้มที่พบในประเทศที่กล่าวถึงข้างต้นถูกนำมาเปรียบเทียบกับอังกฤษซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่มีกฎหมายห้ามการสูบบุหรี่

          ผลการศึกษาพบว่าหลังจากที่กฎหมายห้ามสูบบุหรี่มีผลบังคับใช้ อัตราส่วนของสิงห์อมควันที่เลิกพฤติกรรมการสูบบุหรี่ที่บ้านเพิ่มขึ้น 17 เปอร์เซ็นต์ในฝรั่งเศส 25 เปอร์เซ็นต์ ในไอร์แลนด์ 28 เปอร์เซ็นต์ ในเนเธอร์แลนด์ และ 38 เปอร์เซ็นต์ในเยอรมนี

          นอกจากนี้จำนวนของบุหรี่ทั้งหมดที่ผู้สูบบุหรี่แต่ละรายสูบในแต่ละวันยังลดลง "อย่างมีนัยสำคัญ"ด้วย ทั้งในไอร์แลนด์ เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ ทว่าไม่ลดลงในฝรั่งเศส

          ทีมนักวิจัยที่นำโดย อูเต มอนส์ แห่งศูนย์วิจัยมะเร็งเยอรมนี (จีซีอาร์ซี) ในเมืองไฮเดลแบร์กระบุว่า ผลการศึกษาที่พบเป็นการโต้แย้งหักล้างข้อมูลที่อ้างว่าการห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะรังแต่จะทำให้บรรดาสิงห์อมควันมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่อย่างหนักหน่วงมากขึ้นที่บ้าน ซึ่งจะส่งผลให้สมาชิกในครอบครัวของผู้สูบบุหรี่ต้องเผชิญกับภัยอันตรายที่เพิ่มมากขึ้นจากการสูดดมควันบุหรี่มือ 2

          ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว กฎหมายดังกล่าวกลับทำให้บรรดาสิงห์อมควันจำนวนมากเลิกพฤติกรรมการสูบบุหรี่ที่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาเหล่านั้นมีความตั้งใจว่าจะเลิกบุหรี่อยู่เป็นทุนเดิมมีแนวคิดเห็นด้วยหรือสนับสนุนกฎหมายห้ามสูบบุหรี่หรือว่ามีเด็กอยู่ที่บ้าน

          "การค้นพบของเราเป็นหลักฐานสนับสนุนที่หนักแน่นต่อสมมติฐานที่ว่ากฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะไม่ได้นำไปสู่การทำให้ผู้สูบบุหรี่มีพฤติกรรมการสูบมากขึ้นที่บ้านของพวกเขา" ผลการศึกษาวิจัยชิ้นนี้ระบุ และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นข้อมูลที่พบกลับบ่งชี้ว่ากฎหมายห้ามสูบบุหรี่อาจมีผลในการกระตุ้นให้ผู้สูบบุหรี่ล้มเลิกการสูบบุหรี่ที่บ้านของตนเองโดยสิ้นเชิงมากกว่า"

          ผลการศึกษาชิ้นนี้จัดทำขึ้นโดยใช้ข้อมูลจากผู้ตอบแบบสอบถามที่สูบบุหรี่ 4,634 ราย ใน 4 ประเทศคือ เยอรมนี ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์และฝรั่งเศส และ 1,080 ราย ในอังกฤษ

          เป็นที่รู้กันว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งปอด ซึ่งส่วนมากร้ายแรงถึงชีวิต และโรคเรื้อรังอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจ นอกจากนี้ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจซึ่งเป็นโรคที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในโลก

          เมื่อต้นปีที่แล้วองค์การอนามัยโลก (ฮู) เตือนว่าบุหรี่จะคร่าชีวิตผู้คนเกือบ 6 ล้านคน ในปี 2011 ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 600,000 รายที่สูดดมควันบุหรี่มือ 2 โดยฮูคาดว่าผู้เสียชีวิตจากบุหรี่จะเพิ่มขึ้นเป็น 8 ล้านราย ในปี 2030--จบ--