เมื่อตัดสินใจร่วมใช้ชีวิตด้วยกันแล้ว ก็ยังมีสิ่งที่ไม่ควรละเลยนั่น คือการพากันไปตรวจสุขภาพของคู่รัก มีคำแนะนำจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ว่าควรตรวจอะไรบ้างนั้น ลองไปดูกัน
          โรงพยาบาลหลายแห่งมักจัดโปรแกรมการตรวจไว้เฉพาะ เพื่อให้ว่าที่สามี-ภรรยาได้ตรวจให้รู้ปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ เพื่อเป็นการป้องกันการติดโรคหรือความปลอดภัยในการมีทายาทในอนาคต
          เริ่มจากการตรวจร่างกายทั่วไปอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักชีพจร ความดันโลหิต คล้ายๆกับการตรวจสุขภาพประจำปี ตามด้วยการตรวจหากรุ๊ปเลือด โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยตรวจ การตรวจในข้อนี้จะเป็นประโยชน์เมื่อเหตุฉุกเฉิน
          เรื่องของเลือดยังต้องตรวจหาความผิดปกติของเฮโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ให้รู้ว่าเป็นโรคธาลัสซีเมียหรือไม่ เนื่องจากโรคดังกล่าวถือเป็นความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ เม็ดเลือดแดงผิดปกติจะส่งผลให้ลูกมีการเจริญเติบโตไม่สมวัย ตับ ม้ามโต ตัวซีด หรือเด็กอาจเสียชีวิตได้
          การตรวจหาโรคฮีโมฟีเลีย เพื่อค้นหาความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ที่เป็นสาเหตุให้เลือดออกง่ายแต่หยุดยาก ยังมีการตรวจหาโรคพร่องเอนไซม์G-6-PDโรคที่ติดตัวไปตลอดชีวิต ถ้าเม็ดเลือดแดงเอนไซม์แตกก็จะเป็นปัญหากับลูกที่เกิดภาวะซีดเหลืองคล้ายดีซ่าน ทว่าเม็ดเลือดแดงแตกมากก็จะทำให้ช็อกได้ และที่ได้ยินกันบ่อยๆก็คือ ตรวจหาเชื้อซิฟิลิส หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทางเลือด ซึ่งสามารถติดจากแม่สู่ลูกได้ เป็นโรคที่ยังไม่อาจรักษาได้ด้วย
          นอกจากนี้ คู่รักยังต้องตรวจหาเชื้อและภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี โรคสำคัญที่สามารถติดต่อไปยังคู่สมรสรวมทั้งลูกได้ แถมยังอาจพัฒนาไปเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง มะเร็งตับ ตับแข็ง แต่ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน โดยการรับวัคซีนต้องตรวจก่อนว่ามีภูมิคุ้มกันหรือยัง
          การตรวจหาภูมิคุ้มกันเชื้อหัดเยอรมัน เกิดจากไวรัสติดต่อไปยังคู่สมรสและลูกได้ ทั้งนี้ หากไม่ภูมิคุ้มกัน แพทย์จะฉีดวัคซีนและคุมกำเนิดอย่างน้อย 3 เดือน ป้องกันการติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์อันเป็นเหตุให้แท้งลูกหรือทารกพิการ ที่ขาดไม่ได้คือ การตรวจหาวัณโรคที่ติดต่อได้ง่ายจากระบบทางเดินหายใจ หายได้ถ้ารักษาอย่างต่อเนื่อง
          สุดท้ายสำคัญไม่แพ้ข้อไหนๆคือ การตรวจหาเชื้อไวรัสเอดส์ ซึ้งถ้าพบเชื้อก็จะได้วางแผนป้องกันด้วยการใช้ถุงยางอนามัย และคุมกำเนิดไม่ให้ติดต่อไปยังลูก