HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 02/01/2556 ]
ปีใหม่2556...พลิกความคิด 'ชีวิตเปลี่ยน'ทันที

นพ.วิชัย เทียนถาวร อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข


อดีตผ่านมาย้อนหลังไปยุค "ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม" ประมาณปี 2504-250...สมัยรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นวิถีชีวิตแบบชาวนาชาวไร่ ทำมาหากินรูปแบบ "ในน้ำมีปลาในนามีข้าว" คนส่วนใหญ่จะอยู่กินอย่างมีความสุขสบาย วิถีชีวิตไทยๆ ปัญหาโครงสร้างสังคมไม่ซับซ้อน การฆ่าตัวตายน้อยมาก ผ่านมา 50 ปี ถึงปัจจุบันเป็นยุคอุตสาหกรรม ยุคโลกาภิวัตน์ ยุคทุนนิยม ยึดวัตถุเป็นสรณะ ยุค 3จี สู่ 5จี เทคโนโลยีสูงขึ้นๆ ตามลำดับ ปัญหาต่างๆ สลับซับซ้อน โครงสร้างทางสังคมเปลี่ยนไปเป็นเชิงซับซ้อนมากยิ่งขึ้นยุ่งเหยิง ความเป็น "คน" หรือเรียกอีกอย่างว่า "มนุษย์" เปลี่ยนไป การพัฒนาเน้น "เศรษฐกิจ" เป็นหลัก มีการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูง ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากการพัฒนาทางความ "คิด" ของคนซึ่งมีความสามารถพิเศษ คือ สามารถคิดปรุงแต่ง สามารถคิดสร้างสรรค์ สามารถคิดค้นประดิษฐ์สิ่งต่างๆ มากมาย ซึ่งความสามารถนี้ "สัตว์อื่น" ไม่มี


อย่างไรก็ตาม ผลจากการพัฒนาความเจริญทุกๆ ด้านที่ผ่านมา นำสู่ปัญหาต่างๆ มากมาย จนบางทีไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไรดี จากคนเคยรวย จนกระทั่งหลงตัวเองและยากจนตกอับ หมดตัว ทำให้เจ็บป่วย ฆ่าตัวตายก็มี
ทุกอย่างรอบตัวไม่เป็นไปตามต้องการ ไม่ได้อย่างใจ บางรายเครียด กลุ้มใจ ทุกข์ใจ ผิดหวังความรัก ครอบครัว มีปัญหาการเรียน การเงินขัดสน รายได้ไม่พอรายจ่าย ติดหนี้มากมาย เครียด กลุ้มใจ ทุกข์ใจ ไร้ทางออก บางรายตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเป็นหนทางสุดท้าย


มนุษย์เราพัฒนาจนถึงวันนี้ ทุกคนคงยอมรับว่า "ความทุกข์" "ความสุข" ทั้งหลายนั้นขึ้นอยู่กับ "ความคิด" ผู้เขียนได้เคยอ่านหนังสือธรรมะของหลวงพ่อพุทธทาส หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี พอประมวลเป็นหลักการได้ว่า


1.ฝึกจิตคิดให้เป็น โดยธรรมชาติของมนุษย์พอมีอะไรมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็จะเกิดการปรุงแต่งขึ้นฉับพลันทันที ส่วนใหญ่คนก็จะเลือกปรุงแต่งให้ตัวเองเป็นทุกข์ตลอดเวลาที่เราตื่น...ลืมตา...มันมีสิ่งต่างๆ มากระทบเราทั้งวัน เราก็ปรุงแต่งให้ตัวเองเป็นทุกข์ทั้งวัน แล้วเราก็กังวล กลุ้ม เครียด และบ้าทั้งวัน ทุกข์ทั้งวัน การที่จะพาตัวเองออกจากความทุกข์ได้นั้น ต้องฝึกจิตตัวเองไม่ให้หวั่นไหว คือมีสติ สู่สมาธิ เมื่อมีสิ่งอะไรมากระทบ ไม่ว่าอะไรจะเข้ามากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างไร ให้เรายิ้มไว้ไม่หลงใหล ไม่ปรุงแต่ง เรารู้ตัวว่ามีสิ่งมากระทบ แต่เราไม่ปรุงแต่ง ไม่ทุกข์ ไม่สุขกับมัน เดี๋ยวมันก็จะหายไปเอง จิตใจเราก็เป็น "ปกติ" ไม่ทุกข์ ไม่สุข เย็นสงบสบาย แค่ฝึกจิตคิดให้เป็น เราก็ไม่ทุกข์แล้ว คำถามต่อมาก็คือ การฝึกจิตจะต้องทำอย่างไร? วิธีง่ายๆ มากครับ

...ตั้งสติให้ดี กำหนดจิตว่า อย่าปรุงแต่งหนอๆๆ ดูเฉยๆ ก็ให้กำหนดว่า เห็นหนอๆ เห็นหนอๆ เดี๋ยวมันก็หมดไป รู้เมื่อไร ก็ตั้งสติให้ได้เมื่อนั้น นั่งมองสิ่งที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตก็ปกติ ไม่ทุกข์ไม่สุข สงบเย็นสบาย


2.จิตใจที่ขาดการควบคุม ใจเรานั้นคิดอะไร? เมื่อใด? ก็ได้...ถ้าขาดการควบคุมมันคิดไปเรื่องที่ให้เป็นทุกข์ก็ได้ เป็นโทษก็ได้ ถ้าเรามีการควบคุม มันคิดในเรื่องที่มีระเบียบไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ออกนอกลู่นอกทางทุกครั้งที่เราคิด เป็นการเพิ่มอะไรๆ ขึ้นในใจของเรา ถ้าเราคิดดี ก็เพิ่มความดีในใจของเรา ถ้าเราคิดชั่ว มันก็เพิ่มในใจของเรา หลีกไม่พ้น ทำบ่อยๆ จนเกิดเป็นนิสัยเคยชิน จนควบคุมไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องปรับเปลี่ยนด้วยการ "ฝึกจิต" "คิดให้เป็น" แต่ถ้าใครพยายามทำแล้ว แต่เอาไม่อยู่ คุม "จิต" ตัวเองไม่ได้ ไม่สำเร็จก็จำเป็นต้องเข้า "ห้องเรียน" ต้องมีอาจารย์สอนครับ จะได้ฝึกจิตให้ "นิ่ง" ได้เร็วยิ่งขึ้น ผู้เขียนแนะนำให้ปฏิบัติธรรม "วิปัสสนากรรมฐาน" เข้าที่ไหนก็ได้ หลักการเหมือนกันหมด จะบอกเล็กน้อยตอนท้ายแบบง่ายๆ ประเด็นต้องถามตัวเองว่า


3.จุดหมายของชีวิตคืออะไร หากเราดูเพื่อนมนุษย์ทุกคนในสังคมนี้ เมืองนี้ เป้าหมายชีวิตของคนส่วนใหญ่ไม่ใช่ "ความสุข" แต่เป็นการปีนป่ายให้บรรลุความอยากของแต่ละคน ซึ่งต่างคนต่างฝัน เมื่อประสบความสำเร็จ เช่น ได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง หรือมีเงินเป็นล้านๆ ตามที่อยากก็จะอิ่มเงิน อิ่มยศอิ่มตำแหน่ง ชื่นบานสักพัก สักชั่วครู่ก็จะเกิดจินตนาการ ความอยากจะเกิดขึ้นใหม่ให้เราต้องตะเกียกตะกายต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกิดจนตายจึงสมหวัง ผิดหวังวนเวียนกันไป สุข ทุกข์ กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้
จนมีคำถามว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร? เพราะไม่ว่าจะสำเร็จมากมาย หรือล้มเหลวซ้ำซากครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงที่สุดแล้ว "คนเราก็ไม่ต่างกันเลย"
ได้แต่ตายไปโดยทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ข้างหลัง? สมบัติบ้าน รถ ไร่ นา หรือ? ความดีความชั่วหรือ? ว่าไปแล้วเกิดคำถามขึ้นมาว่า ควรหาคำตอบคือ ระหว่างมีชีวิตอยู่เราควรคิดอะไร? ชีวิตมีการเริ่มต้น ผ่านเด็ก สาว หนุ่ม แก่ และตายดับไปในที่สุด เป็น "กาลอวสานของชีวิต" ไปคราวหนึ่ง เหมือน "ผลไม้" ที่เริ่มต้นด้วยการออก "ดอก" ออก "ผล" แล้วผลก็แก่โดยลำดับ และลูกก็งอมหล่นไปเอง จุดหมายปลายทางของชีวิตที่แสวงกันนั้น? อยู่ที่ทรัพย์สมบัติความมั่งมี ความเป็นใหญ่เป็นโตหรือ? นั่นเป็นจุดหมายจอมปลอม เพราะอะไร? เพราะความมั่งมีหมื่นล้าน แสนล้าน ก็ไม่ได้ทำให้เป็นสุขอย่างแท้จริง ความเป็นใหญ่เป็นโตเจริญด้วยลาภยศ ด้วยชื่อเสียง ก็มิใช่เป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นสุขอย่างแท้จริงเช่นกัน "ความสะอาด สว่าง สงบ" นั่นแหละที่เป็นความสุขที่แท้จริงและจีรัง ท่านเชื่อหรือไม่?


4.ปัญหามี จึงคิด หมั่นฝึกเพื่อคิดให้ถูกทาง ฝึกความรู้ความสามารถให้ถูกทาง หมั่นฝึกใช้ความสามารถให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเอง การฝึกปรุงแต่งจิตต้องปรุงแต่งเพื่อให้ชีวิตมีความสุขเท่านั้นนะ อยู่เฉยๆ "การสร้างความสุข"..."ให้ชีวิต" ก็สำคัญ เพราะเพื่อ "ตัวเราเอง" เปิดรับฟังแต่ข่าวดีๆ ถ้าเจอข่าวไม่ดี ทำให้ทุกข์ ปิดเลย คุยแต่เรื่องดี มีความสุข ใครคุยเรื่องไม่ดี หยุดคุย เดินหนี คบแต่คนดีๆ ทำให้ชีวิตมีความสุข เจอคนไม่ดีทำให้ทุกข์ เดินหนี ไปแต่สถานที่ดีๆ ที่ทำให้เรามีความสุข สถานที่อโคจร ไปแล้วเป็นทุกข์ เดินหนี คิดแต่เรื่องดีๆ คิดแล้วมีสุข เรื่องไหนไม่ดีเกิดทุกข์ก็หยุดคิดเสียเลย ทำได้ตามนี้ มีความสุขตลอดชีวิตเลย


5.อยู่กับปัญหา ต้องอยู่กับมัน "อย่างมีความสุขให้ได้" อย่าหนี ยิ่งหนียิ่งตามหาเราไม่จบ จำไว้ว่า "ปัญหา" มีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้กลุ้ม ปัญหาเป็นคู่ของโลก ทุกคนเกิดมาบนโลกนี้ เกิดมาพร้อมกับปัญหา เด็กแรกเกิดก็มีปัญหาแล้ว ไม่หายใจเป็นเรื่องใหญ่เลย หมอต้องกระตุ้นให้ร้องอุแว้ให้ได้ ต้องจับขาขึ้นห้อยหัวลง ดูดน้ำคร่ำเพื่อกระตุ้นหายใจและเปิดทางหายใจให้โล่ง ตบก้นเด็กให้ร้องและหายใจให้ได้...ก็แปลว่ารอด...ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ไม่มีปัญหา เมื่อเจอปัญหาก็แก้มันจะได้จบๆ การแก้ปัญหา คือการพิสูจน์ความสามารถของตัวเราเจ๋งแค่ไหน มี 2 ทาง แก้ไม่ได้...เราก็รับสภาพแล้วปรับตัวสู้ต่อไป ใครแก้ได้ก็เก่งมาปลายทางของปัญหา ทุกคนอยากได้คือ "ความสำเร็จ" เมื่อคุณแก้ปัญหาจบชีวิตคุณก็จะพบกับความสำเร็จ แก้ปัญหาได้มากเท่าไร คุณก็จะพบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น ปัญหามันยิ่งใหญ่เท่าไร ความสำเร็จที่คุณจะได้รับมันก็ยิ่งใหญ่เท่านั้น ทุกครั้งที่เจอปัญหาจงยิ้ม และดีใจได้เลยว่าความสำเร็จใหม่มันกำลังเดินทางมาหาคุณแล้วนะ จง "ภูมิใจ" และสร้างกำลังใจให้ตัวเองตลอดเวลา เพื่อเกิด "พลังจิต" มุ่งมั่นเดินหน้าต่อไปอย่างมีสติ "ด้วยอานาปานัสสติ" อย่างไร? จนเกิด "สมาธิ" และ "ปัญญา" ในท้ายสุด


6.ทำจิตให้ว่าง คือ "ความว่างเปล่า" ทำจิตให้ว่าง หมายความไม่ใช่ว่างอย่างไม่มีอะไร ไม่ใช่อย่างเหมือนภาชนะว่างที่ไม่มีอะไรอยู่ในภาชนะนั้น นั่นเป็นความว่างในทางวัตถุ แต่ว่าความว่างในทางจิตนั้นคือ "ไม่มีกิเลสเกิดขึ้น" ในขณะที่เราทำอะไร? คิดอะไร? พูดอะไร? ก็จะไม่มีกิเลส ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เข้ามาเป็นฐานรองรับสิ่งนั้น เราเห็นรูป เราฟังเสียง เราดมกลิ่น เราลิ้มรส ได้ถูกต้องสัมผัสสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่มีความยึดถือในสิ่งนั้น มันเพียงสักแต่ว่ามันผ่านมาก็ผ่านไป ความคิดอันหนึ่งเกิดขึ้น ผ่านไปเราไม่เก็บไว้ เป็น "อารมณ์" นี่แหละคือ "จิตว่าง"
หลวงพ่อจรัญท่านเคยสอนว่า "อานาปานัสสติ" คือ กัลยาณมิตรที่ดีที่สุดของเราทุกคน เพราะเขาจะไม่ทิ้งเรา เราก็ทิ้งเขาไม่ได้ และเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราทุกสถานการณ์ ไปไหนไปด้วยกันตลอดเวลา


"อานาปานัสสติ" คือ การกำหนดลมหายใจเข้าออก เป็นการทำสมาธิโดยใช้สติระลึกรู้ "ลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา" ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน เมื่อจิตมีสมาธิตั้งมั่น ทรงตัวดีแล้ว จะทำใจให้สงบ นิ่ง สามารถปฏิบัติเพื่อเจริญศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อความพ้นทุกข์ได้ทุกลมหายใจ


ท่านพุทธทาสท่านยังบอกว่า "สุขมหัศจรรย์จากลมหายใจ" เรื่องลมหายใจ รู้จักกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ รู้จักทำให้เป็นประโยชน์เท่าที่จะทำได้ จนมากลายเป็นเรื่องทาง "ธรรม" ทางศาสนา เป็นสมาธิที่เป็นบาทฐานของวิปัสสนา จนกระทั่งเป็นตัว "วิปัสสนาเอง" เป็นอานาปานัสสติสูงสุด เป็นวิปัสสนาเสียเอง ก็รู้ธรรมะอันสูงสุดได้
การควบคุมลมหายใจ มีผลกับกลไกต่างๆ ในร่างกาย การจัดการลงไปที่ลมหายใจ มันจะมีผลเนื่องกันไปถึงอะไรก็ได้ ที่เรียกว่ามันเนื่องกัน แล้วมากมายเสียด้วย ซึ่งหลวงพ่อพุทธทาสท่านได้ระบุไว้ ซึ่งจะยกกรณีตัวอย่างสำคัญให้พอสังเขป


- ลมหายใจขับไล่ความรู้สึกกลัวประหม่า จะเห็นได้ชัดเวลาเข้าห้องสอบจะกลัวประหม่า เรามักจะถอนหายใจเข้าออกยาว อาการต่างๆ จะหายไป
- ลมหายใจไล่ความอึดอัด คับแคบใจ ช่วยคลายเหนื่อย
- ลมหายใจแก้สะอึก ช่วยห้ามเลือด ช่วยให้กล้าหาญ
- ลมหายใจช่วยให้เป็นพระได้ การกำหนดลมหายใจให้ระงับ ให้เป็นระเบียบลง นั่นแหละคือเป็นพระในความหมายที่ถูกต้อง
- ลมหายใจช่วยการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
- ลมหายใจช่วยให้เด็กสุภาพ เรียบร้อย เป็นลูกที่ดี
- ลมหายใจคือการพักผ่อนอย่างแท้จริง เขาบอกว่าการทำลมหายใจให้สงบ ให้เป็นสมาธิด้วยลมหายใจนั้น มันเป็นการพักผ่อนที่ดียิ่งกว่าการนอนหลับเสียอีก ตื่นมาสดชื่นมาก กำหนดลมหายใจสักชั่วโมงดีกว่านอนหลับ 5 ชั่วโมง
- ลมหายใจทำให้ได้ความสุขทันใจ ขับไล่ความปั่นป่วนในจิตใจ
- ลมหายใจช่วยให้เด็กในท้องแข็งแรง คนตั้งท้องทำอานาปานัสสติทำให้เด็กในท้องแข็งแรง คลอดออกมาปลอดภัย เฉลียวฉลาด
-ลมหายใจช่วย "ชะลอความชรา" ช่วยให้เราสบายใจไม่ต้องเครียด รู้ตื่น เบิกบานถึงที่สุด
- ลมหายใจช่วยไม่ให้เป็นโรคจิต โรควิญญาณ- ลมหายใจช่วยขับไล่ความร้อนถอนพิษไข้ได้อย่างดี
- ลมหายใจใช้ได้ตั้งแต่เกิดจนตาย


หลวงพ่อพุทธทาสท่านได้บรรยายธรรม "อานาปานัสสติ" ท้ายสุดว่าเป็นการบรรยายที่มีเหตุมีผล ที่พร้อมจะพิสูจน์ได้ สำหรับผู้เขียนเองก็ได้ปฏิบัติและใช้อยู่ประจำ มีหลายข้อที่พิสูจน์แล้วใช่เลย


ผู้เขียนขอเชิญชวนผู้อ่านว่า ปี 2556 ขอให้เราได้มา "ปรับความคิดสักนิดชีวิตจะเปลี่ยน" ด้วยว่า "ความคิด" คือต้นเหตุของการพูด การกระทำด้วยกิริยาอารมณ์ต่างๆ ส่งผลที่เกิดขึ้นคือ "ทุกข์" กับ "สุข" เป็นได้ 2 ด้าน ใคร่ขอให้เลือกทางสุข และสุขในที่นี้คือ ความว่างเปล่า สุขแบบ "สะอาด สว่าง สงบ" ด้วยการฝึกจิต เพื่อการคิดให้เป็น โดยวิธี "อานาปา นัสสติ" เป็น "กัลยาณมิตร" เพราะลมหายใจเข้าออก คือมิตรที่ดีที่สุด ที่ให้ประโยชน์ ไม่มีโทษ มีราคา แต่มี "คุณค่า" มหาศาลกับชีวิตเราตามที่หลวงพ่อ ทั้งสองท่านบอกว่า "สุขมหัศจรรย์" จากลมหายใจ ใครยังไม่รู้ ไม่ทำ ขอให้ฝึกเริ่มเลยเดี๋ยวนี้ แล้วจะรู้ว่านี่คืออีก "หนึ่งวัคซีนของชีวิต" ที่ทรงคุณค่า นอกจาก "3 อ" ที่เคยกล่าวแล้ว ไม่ต้องซื้อไม่ต้องหาสร้างได้เอง เริ่มวินาทีนี้เลย "สุข ทุกข์อย่างไร? ชีวิตเปลี่ยนจริงหรือไม่?" ช่วยบอกด้วย


ขอให้มีสุขภาพกาย ใจที่ดี โชคดีและสมหวังตลอดปีใหม่นี้นะครับ


pageview  1205464    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved