HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 26/07/2555 ]
'ยากับไข่...ไข่กับยา'

นพ.วิชัย เทียนถาวร  อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข
          ความจำเป็นขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์คือ "ปัจจัย 4" ประกอบด้วย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค
          ในองค์ประกอบ 4 ปัจจัยนั้น อาหารและยารักษาโรค คือสิ่งที่มีผลต่อร่างกายของเรามากที่สุด
          คือ สิ่งจำเป็นของชีวิตที่ต้องกินเข้าไปเพื่อบำรุงร่างกาย ประกอบด้วยอาหาร 5 หมู่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ ไขมัน และวิตามิน เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย การเจริญเติบโต อย่างสมส่วน และมีสติปัญญาที่ดี โดยเฉพาะ "ไข่" เป็นอาหารวิเศษที่ทุกคนต้อง กิน
          ยารักษาโรค คือ สิ่งจำเป็นที่ร่างกายต้องการบริโภคเมื่อยามเจ็บป่วย เพื่อให้หายป่วยเร็วไว จะได้ประกอบกิจประจำวันได้อย่างปกติสุข แต่ "ยา" ก็มีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์ หากกินแบบขาดความรู้ กินไม่ถูกต้อง กินยาหมดอายุ กินยาผิดโรค
          ข้อมูลจากการศึกษาของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี 2553 คนไทยบริโภคยาทั้งยาแผนปัจจุบันและแผนโบราณที่ ผลิตเองและนำเข้าปีละประมาณ 47,000 ล้านเม็ด หรือเฉลี่ยวันละ 128 ล้านเม็ด คิดเป็นมูลค่า 1.5 แสนล้านบาทต่อปี หรือร้อยละ 47 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ โดยมีผู้ป่วยซื้อยากินเอง ร้อยละ 15 ของผู้ป่วยทั้งหมด
          จากการสำรวจสุขภาพคนไทยปี 2550-2552 พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป กินยาแก้ปวด ทุกวัน ร้อยละ 2.3 กินยานอนหลับเป็นประจำ ร้อยละ 3.3 กินยาลูกกลอนเป็นประจำ ร้อยละ 2.1 และกินยาลดความอ้วน ร้อยละ 1.1 ซึ่งยาที่คนไทยใช้มากเป็นอันดับ 1 คือ ยาปฏิชีวนะ ใช้ถึง ร้อยละ 20 ของยาทั้งหมด ซึ่งบ่อยครั้งเป็นการใช้ยาเกินขนาดเป็นสาเหตุที่ทำให้เชื้อดื้อยาเพิ่มมากขึ้น และเป็นการสะสมอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
          "ไข่ใหม่แลกยาเก่า" ของกระทรวงสาธารณสุข โครงการที่เริ่มรณรงค์ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 2-5 กรกฎาคม 2555 ให้ประชาชนได้นำยาเก่าหมดอายุหรือไม่ได้ใช้ มาแลกไข่ไก่ ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาล ศูนย์ ในพื้นที่ 76 จังหวัด ยกเว้นกรุงเทพ มหานคร
          กำหนดจะดำเนินการในวันที่ 23-27 กรกฎาคม
          ผล ของการรณรงค์ในช่วงเวลาดังกล่าว ชาวบ้านที่เก็บยาไว้ ไม่ว่าจะเหน็บไว้ที่ขื่อ ฝาบ้าน ใต้เสื่อ ถุงยา กล่อง ลัง หรือกระปุก ถูกขุดออกมาแทบทุกหลังคาเรือน เพื่อเอามาแลก "ไข่ใหม่"ซึ่งเป็นอาหาร ที่มีคุณค่าสูง มีประโยชน์ 100% ได้ยา 37,792,027 เม็ด มูลค่าไม่ต่ำกว่า 70 ล้านบาท เป็นยาเบาหวาน 7,615,789 เม็ด ยาโรคความดันโลหิตสูง 7,038,068 เม็ด วิตามิน 3,207,215 เม็ด ยาลดไขมันในเลือด 2,901,603 เม็ด และ ยารักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ 1,521,030 เม็ด
          ที่เหลือเป็นแคลเซียม ยาปฏิชีวนะ พารา เซตามอล อย่างละกว่า 1 ล้านเม็ด และอื่นๆ อีก 11 ล้านเม็ด
          ตัวเลขจำนวน "ยาเก่า" นับว่ามีประโยชน์ ที่สะท้อนให้กระทรวงสาธารณสุขต้อง กลับมาดูระบบการบริหารจัดการ การตรวจรักษา การจ่ายยา เครือข่ายยา การเก็บบริการจาก รพท./รพช. สู่ รพ.สต. เพื่อไปจ่ายให้ผู้ป่วยโดยเฉพาะโรคเรื้อรังทั้งหลายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
          ในทรรศนะของผู้เขียน "ไข่ใหม่แลกยาเก่า" นับเป็นโครงการที่ดีในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะประชาชนซึ่งไม่มีความรู้ หรือรู้ไม่เท่าทันเรื่องการใช้ยา อันเป็นการดำเนินการตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ประชาชนใช้ยาอย่างสมเหตุผล และมีประสิทธิภาพในการรักษา ทั้งนี้ เนื่องจากจำนวนยาเก่า แก้ปวดข้อ ยาเกาต์ ยาบำรุงสมอง วิตามิน หากคิดประมาณการยาเฉลี่ยเม็ดละ 1 บาท จะมีมูลค่ายา 37 ล้านเม็ด ส่วนใหญ่เป็นยารักษาโรคเรื้อรัง คือ เบาหวาน ความดันโลหิต ยาลดไขมันในเส้นเลือด ยาที่เก็บอยู่ตามบ้านประชาชน ตกประมาณ 37 ล้านบาท...
          ที่สำคัญความคุ้มค่าที่ประเมินไม่ได้ คือ สร้างความปลอดภัยให้กับ "ประชาชน" ผู้ซึ่งรู้ไม่เท่าทันเรื่องการกินยา
          เหนืออื่นใดการใช้ "ยา" โดยแพทย์สั่ง หรือเจ้าหน้าที่พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใน รพ.สต. ให้กับ "ผู้ป่วย" หรือ "ประชาชน" ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังวนเวียนในกลุ่มของโรคเรื้อรัง ซึ่งขณะนี้มีปริมาณคนไข้และการใช้ยาสูงสุด คือ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ตามด้วยโรคแทรก หัวใจ สมอง ไต...และคนไข้คาดหวังต้องได้ "ยา" เท่านั้นจึงจะหาย
          ผู้เขียนจึงอยากชวนให้มาลองคิดใหม่ ...และอยากชวนให้มาใช้ "3 อ." เป็นยารักษา 1 Dose : 1 วัน เริ่มกันได้ทันที ด้วยการออก กำลังกายสม่ำเสมอต่อเนื่อง อาทิตย์ละ 3 วัน ครั้งละ 30 นาที กินอาหาร ผักครึ่งหนึ่ง อย่างอื่น ครึ่งหนึ่ง ลด หวาน มัน เค็ม การมีอารมณ์ดีไม่เครียด ยิ้มแย้มแจ่มใส คิดเชิงบวก ไม่โกรธริษยาง่าย
          สำหรับหมอ "3 อ." คือ ยา 1 dose โดยการให้คำแนะนำให้คำปรึกษากับผู้ป่วยในรายที่เป็นเบาหวาน ความดัน ที่เป็นอ่อนๆ (สีเหลือง) เป็นกลุ่มที่ให้ "3 อ." 1 Dose ดีๆ ยาอาจไม่ต้องกิน อาการก็ลดเป็นสีเขียว (กลุ่มเสี่ยง) และหายเป็นสีขาวในที่สุด หรือในรายรุนแรงปานกลาง (สีส้ม) รุนแรงมาก (สีแดง) ให้ "3 อ." 1 Dose ยา 1 dose หากสีแดงลดเป็นสีส้มได้ ยาก็จะลดปริมาณและชนิดลงได้อย่างน้อย 1 อย่าง หรือ สีส้มลดเป็นสีเหลืองได้ ยาก็จะลดปริมาณและชนิดลงได้อย่างน้อย 1 อย่าง
          สำหรับประชาชน คนปกติ (สีขาว) ให้ดูแลสุขภาพด้วย "3 อ." อย่างต่อเนื่องจริงจัง จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือยืดอายุขัยของการเกิดโรค ให้ไกลออกไป และแม้จะเป็นกลุ่มกรรมพันธุ์ มีข้อมูลยืนยันจากอายุรแพทย์ว่า หากใช้หลัก การออกกำลังกาย กินอาหารลดหวานมัน เค็ม กินผักและผลไม้เป็นหลัก กินอาหารขยะเป็นรอง (จั๊งค์ฟู้ด) และมีจิตใจแจ่มใสเบิกบาน ก็สามารถเอาชนะภาวะกรรมพันธุ์ของโรค ได้
          ดังนั้น แพทย์/พยาบาล/นักส่งเสริมสุขภาพ ต้องกลับมาทบทวนการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังทั้งหลายด้วยการเน้น "สร้างนำซ่อม" คู่กันไปให้มากยิ่งขึ้นตามลำดับ เพราะ "3 อ." เป็นวัคซีนชีวิตที่ให้ภูมิคุ้มกันโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงได้ยอดเยี่ยม และขณะเดียวกัน เป็น "ยาวิเศษ" ที่สร้างเองได้ไม่ต้องซื้อหา จะทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิต มีความสุข และคนป่วยกินยาน้อยลงโอกาสแพ้ยาหรือมีโรคแทรกซ้อนจากยาลดน้อยลงได้อย่างมากอีกด้วย นับว่าจะประหยัดงบประมาณอย่างมหาศาลให้ประเทศชาติในการซื้อยา และยาที่ใช้จะไม่เหลือติดบ้านอย่างที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นการปลด "กับดัก" ให้กับประชาชนไม่ต้องพึ่งยาแต่อย่างเดียว
          ...ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาและเจตนาของ "ยาแลกไข่"...

          "การใช้ 'ยา' โดยแพทย์สั่ง หรือเจ้าหน้าที่พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใน รพ.สต. ให้กับ  'ผู้ป่วย' หรือ 'ประชาชน' ปฏิเสธไม่ได้ว่า  ยังวนเวียนในกลุ่มของโรคเรื้อรัง...และคนไข้ คาดหวังต้องได้ 'ยา' เท่านั้นจึงจะหาย "


pageview  1205849    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved