HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 25/02/2562 ]
5 อาหารใจ ให้ลูกหลังเลิกเรียน ป้องกันปัญหาเด็กเครียด

  "เป็นเด็กเป็นเล็ก จะเครียดเรื่องอะไรกันนะ" อาจเป็นสิ่งที่หลายคนแอบคิด แต่สิ่งที่เราอาจหลงลืมไปคือความรู้สึกของการเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ครั้งแรกเมื่อครั้งเราเป็นเด็ก ที่ทุกเหตุการณ์เป็นเรื่องยิ่งใหญ่และสำคัญ
          เมื่อรวมเข้ากับความคาดหวังจากสังคม ภาพลักษณ์ที่สวยงามของผู้คนในโลกโซเชียลที่กลายเป็นกลุ่มสังคมสำคัญของเด็กรุ่นใหม่ ทำให้เรียกได้ว่าการเป็นเด็กในยุคปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย
          รายงานจากกรมสุขภาพจิตประจำปี 2559 ระบุว่า มีวัยรุ่นไทยมากถึง 1.5 แสน คนทั่วประเทศเป็นโรคพฤติกรรมเกเรก้าวร้าว โดยส่วนหนึ่งสืบสาเหตุมาจากการที่พ่อแม่ปล่อยปละละเลยไม่ให้ความสนใจหรือแก้ไขพฤติกรรมก้าวร้าวที่ลูกเป็นมาตั้งแต่เด็ก และหากปล่อยอาการเหล่านี้ไว้ไม่แก้ไข กว่าร้อยละ 40 ของเด็กเหล่านี้อาจกลายเป็นนักเลงอันธพาลในอนาคต
          ต่อมาในปี พ.ศ. 2560 กรมสุขภาพจิต ระบุว่า มีวัยรุ่นไทยป่วยเป็นโรคซึมเศร้ากว่า 1 ล้านคน และมีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอีกกว่า 3 ล้านจากวัยรุ่น ทั้งหมดประมาณ 8 ล้านคน ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของผลกระทบ อันเนื่องมาจากการที่เด็กไทยไม่ได้รับการดูแลด้านสุขภาพจิตและพัฒนาการทางอารมณ์อย่างทั่วถึง หากไม่ได้รับการเฝ้าระวังและแก้ไข อาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม ลักษณะนิสัย ทัศนคติต่อตนเองและผู้อื่น รวมไปถึงพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรงในสังคม เพราะสุขภาพจิตเป็นรากฐานสำคัญของการมีสุขภาพกายและสภาพความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์ หากสุขภาพจิตเด็กไทยไม่มั่นคง โอกาสที่สังคมไทยจะสามารถพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพในอนาคตก็ลดน้อยลงไปด้วย
          เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตใจของเด็กให้กับกลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุดอย่างพ่อแม่ผู้ปกครองและครู แพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหลายท่านจากบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ได้แนะนำ "5 อาหารใจให้ลูกทุกวันหลังเลิกเรียน" เป็นเคล็ดลับง่าย ๆ ให้พ่อแม่ ผู้ปกครองและคุณครูนำไปปรับใช้ เพื่อการดูแลสุขภาพจิตของเด็กในชีวิตประจำวัน
          1.ให้ความใส่ใจ คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองและคุณครูควรให้ความใส่ใจและคอยสังเกตพฤติกรรมของเด็ก ๆ ในกรณีที่สังเกตเห็นว่าเด็กมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น เงียบหรือเก็บตัวมากกว่าปกติ หรือมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารแปลกไปจากปกติ เช่นทานมากขึ้นหรือน้อยลง ควรเข้าไปพูดคุยสอบถาม พร้อมแสดงความห่วงใยและเข้าอกเข้าใจ เด็ก ๆ จะรับรู้ได้ว่าคนรอบข้างให้ความสนใจและความเข้าใจ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กรู้สึกสบายใจ สามารถระบายสิ่งที่อยู่ในใจได้สะดวกใจยิ่งขึ้น
          2.ให้ความสนับสนุน โดยไม่สร้างความกดดัน แม้การตั้งเป้าหมายสำหรับอนาคตอาจเป็นสิ่งที่ดีในการสร้างแรงจูงใจให้แก่เด็ก ๆ คุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้างควรจะระมัดระวังพฤติกรรมการแสดงออกของตนเอง โดยทำให้แน่ใจว่าตนเองมอบความสนับสนุน โดยไม่สร้างแรงกดดันให้เด็ก ๆ เพราะการสร้างแรงกดดันอาจจะทำให้เด็กเครียดได้ ในกรณีที่เด็กมีความอ่อนไหวต่อความรู้สึก แม้ว่าคนรอบข้างจะไม่ได้กดดันเขา หรือไม่ได้คาดหวังอะไร ก็มีความเป็นไปได้ที่เด็กจะรู้สึกเครียดเอง ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้างควรระมัดระวังพฤติกรรมการแสดงออกของตนเอง และเน้นย้ำให้เด็กเข้าใจว่า ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ตัวเขามีคุณค่าและมีความสำคัญ และมีคนรอบข้างที่พร้อมจะสนับสนุนเขาอยู่เสมอ
          3.ให้ความเข้าใจ ไม่ควรดุ ตำหนิ หรือตีเด็ก เพราะการดุด่า หรือการตีโดยไม่ให้เหตุผลที่เพียงพอ หรือการใช้อำนาจเป็นตัวตัดสิน นอกจากจะทำให้เด็กรู้สึกไม่ดี และรู้สึกว่าพ่อแม่และคนรอบข้างไม่รัก ไม่เข้าใจเขาแล้ว อาจนำไปสู่พฤติกรรมต่อต้าน ก้าวร้าว หรือแม้กระทั่งนำเอาวิธีที่ปฏิบัตินั้นไปใช้กับคนอื่น ทางที่ดีก็คือคุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้างควรตั้งสติ พยายามทำความเข้าใจและใช้เหตุผลกับเด็กให้ได้มากที่สุด
          4.ให้ความสนใจ คุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้างไม่ควรทำอาการเพิกเฉยต่อเด็ก เพราะบางครั้งเด็กอาจจะต้องการให้คนรอบข้างสนใจและเข้าใจเขา หากเพิกเฉย อาจนำไปสู่พฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรงเพื่อเรียกร้องความสนใจในอนาคต
          5.ให้เวลา คุณพ่อคุณแม่ควรจะใช้เวลากับลูกบ่อย ๆ เพราะจะทำให้ความสัมพันธ์แนบแน่นยิ่งขึ้น ถ้าหากลูกอยู่ในวัยประถม คุณพ่อคุณแม่อาจจะทำกิจกรรมร่วมกันกับลูก และชมเชยลูกได้ ส่วนถ้าลูกโตขึ้นมาหน่อยหรืออยู่ในช่วงวัยรุ่น คุณพ่อคุณแม่อาจจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพูดคุย เป็นการกระตุ้นให้เขาเปิดใจกับเรา ทำให้เขาไม่เครียด ไม่เก็บกด
          นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลเด็กให้กับกลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับเด็กอย่างต่อเนื่อง BDMS จึงทำโครงการ "วัคซีนพ่อแม่" เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของเด็กในชุมชนแออัด ให้มีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย และมีชีวิตวัยเด็กที่มีคุณภาพ ผ่านความช่วยเหลือด้านองค์ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพและบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลในเครือ โดยบริษัทมีแผนที่จะขยายโครงการไปสู่พ่อแม่และผู้ปกครองในชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย


pageview  1205142    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved