|
|
|
หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 16/11/2561 ] |
|
|
|
|
ฉุกเฉินวิกฤติ...ห้ามปฏิเสธรักษา สัญญาณ6อาการต้องรู้ สิทธิ 72 ชม.แรก รักษาได้ทุกรพ. |
|
|
|
|
เจ็บป่วยไม่เข้าใครออกใคร แต่เป็นแล้วก็ควรได้รับการรักษาอาการเมื่อไปถึงสถานพยาบาล โดยเฉพาะ "ผู้ป่วยฉุกเฉิน" มีกรณีที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสังคมเกี่ยวกับมาตรฐานการคัดกรองผู้ป่วยฉุกเฉิน ซึ่งเป็นสิ่งจำแนกลำดับแรกที่ส่งผลถึงแนวทางการรักษาเพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วย
กรณีที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า นอกจากสถานพยาบาลและ ผู้ปฏิบัติแล้ว การเรียนรู้ถึงกฎ ระเบียบ และสิทธิในการรับการรักษาอย่างถูกต้องสำหรับประชาชนก็ถือเป็นเรื่องจำเป็น เพราะการเจ็บป่วยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง
อย่างไรจึงเรียกว่าผู้ป่วยฉุกเฉิน...
ตาม พ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉิน 2551 นิยาม ผู้ป่วยฉุกเฉิน คือ บุคคลซึ่งได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการป่วยกะทันหัน ซึ่งเป็นภยันตรายต่อการดำรงชีวิตหรือการทำงานของอวัยวะสำคัญ จำเป็นต้องได้รับการประเมิน การจัดการและการบำบัดรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันการเสียชีวิตหรือการรุนแรงขึ้นของการบาดเจ็บหรืออาการป่วยนั้น
สำหรับหลักเกณฑ์การประเมินเพื่อคัดแยกระดับความฉุกเฉินแยกเป็น 3 ระดับ คือ
ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ ได้แก่ บุคคลซึ่งได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการป่วยกะทันหันซึ่งมีภาวะคุกคามต่อชีวิต ซึ่งหากไม่ได้รับปฏิบัติการแพทย์ทันทีเพื่อแก้ไขระบบการหายใจ ระบบไหลเวียนเลือดหรือระบบประสาทแล้ว ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตสูง หรือทำให้การบาดเจ็บหรืออาการป่วยของผู้ป่วยฉุกเฉินนั้นรุนแรงขึ้นหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้อย่างฉับไว
ผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน ได้แก่ บุคคลที่ได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการป่วยซึ่งมีภาวะเฉียบพลันมาก หรือเจ็บปวดรุนแรงอันจำเป็นต้องได้รับการปฏิบัติการแพทย์อย่างรีบด่วน มิฉะนั้นจะทำให้การบาดเจ็บหรืออาการป่วยรุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้น ซึ่งส่งผลให้เสียชีวิตหรือพิการในระยะต่อมาได้
ผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง ได้แก่ บุคคลซึ่งได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการป่วยซึ่งมีภาวะเฉียบพลันไม่รุนแรง อาจรอรับปฏิบัติการแพทย์ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือเดินทางไปรับบริการสาธารณสุขด้วยตนเองได้ แต่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรและหากปล่อยไว้เกินเวลาอันสมควรแล้วจะทำให้การบาดเจ็บหรืออาการป่วยรุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้
ทั้งนี้ สถานพยาบาลมีหน้าที่ต้องทำการคัดแยกผู้ป่วยและควบคุมให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการปฏิบัติการฉุกเฉินตามลำดับความเร่งด่วน ซึ่งกำหนดไว้ว่า
กรณีฉุกเฉินวิกฤติ ต้องได้รับปฏิบัติการฉุกเฉินทันที และจัดให้ได้รับปฏิบัติการแพทย์ชั้นสูงโดยเร่งด่วนที่สุดกรณีฉุกเฉินเร่งด่วน ต้องได้รับปฏิบัติการแพทย์โดยเร็วกรณีฉุกเฉินไม่รุนแรง ต้องได้รับปฏิบัติการแพทย์ตามความจำเป็น
ประเด็นสำคัญคือ สถานพยาบาลมีหน้าที่ต้องให้การรักษาให้เป็นไปตามมาตรา 28 เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ป่วยฉุกเฉินให้หน่วยปฏิบัติการ สถานพยาบาล และผู้ปฏิบัติการดำเนินการปฏิบัติการฉุกเฉินตามหลักเกณฑ์ คือ
1.ตรวจคัดแยกระดับความฉุกเฉินและจัดให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการปฏิบัติการฉุกเฉินตามลำดับความเร่งด่วนทางการแพทย์ฉุกเฉิน
2.ผู้ป่วยฉุกเฉินต้องได้รับการปฏิบัติการฉุกเฉินจนเต็มขีดความสามารถของหน่วยปฏิบัติการหรือสถานพยาบาลนั้นก่อนการส่งต่อ เว้นแต่มีแพทย์ให้การรับรองว่าการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินจะเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันการเสียชีวิตหรือการรุนแรงขึ้นของการเจ็บป่วย
3.การปฏิบัติการฉุกเฉินต่อผู้ป่วยต้องเป็นไปตามความจำเป็นและข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ฉุกเฉิน โดยมิให้นำสิทธิการประกัน การขึ้นทะเบียนสถานพยาบาล หรือความสามารถในการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยฉุกเฉินหรือเงื่อนไขใด ๆ มาเป็นเหตุให้ปฏิเสธผู้ป่วยฉุกเฉินให้ไม่ได้รับการปฏิบัติการฉุกเฉินอย่างทันท่วงที
ปัจจุบันในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินมีนโยบายชัดเจนว่า เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิเข้ารับการรักษาได้ทุกที่ โดยให้เข้ารับการรักษา รพ.ที่ใกล้ที่สุดตามสิทธิ UCEP ที่ให้สิทธิไม่ต้องสำรองจ่ายในระยะ 72 ชม.แรก ถือเป็นโอกาสให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติเข้าถึงการรักษาอย่างเร็วที่สุด
จากปัญหาที่ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยหลายคนมีข้อกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาทำให้เสียสิทธิในการรับการรักษาโดยเร็วจาก รพ.ที่ใกล้ที่สุด ซึ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิต
อาการแบบใดที่เข้าเกณฑ์ฉุกเฉินวิกฤติ สถานพยาบาลไม่อาจปฏิเสธการรักษา มี 6 อาการดังนี้
1. หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ
2. หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หายใจติดขัดเสียงดัง
3. เจ็บหน้าอกเฉียบพลันรุนแรง
4. ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น หรือมีอาการชักร่วม
5. แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัดแบบปัจจุบันทันด่วน หรือชักต่อเนื่องไม่หยุด
6. มีอาการอื่นร่วมที่มีผลต่อการหายใจระบบการไหลเวียนโลหิต และระบบสมองที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
ทั้งนี้ มี 25 กลุ่มอาการกำหนดคัดแยกเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน ดังนี้
1.ปวดท้องบริเวณหลัง เชิงกราน 2.แพ้ยา แพ้อาหาร แพ้สัตว์ต่อย แอนาฟิแล็กซิส ปฏิกิริยาภูมิแพ้ 3.สัตว์กัด 4.เลือดออกโดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บ 5.หายใจลำบาก ติดขัด 6.หัวใจ หยุดเต้น 7.เจ็บแน่นทรวงอก หัวใจ 8.สำลักอุดทางเดินหายใจ 9.เบาหวาน 10.ภาวะฉุกเฉินจากสภาพแวดล้อม 11.ปวดศีรษะ ภาวะผิดปกติทางตา หู คอ จมูก 12.คลุ้ม คลั่ง ภาวะทางจิตประสาท อารมณ์ 13.สารพิษ ยาเกินขนาด
14.มีครรภ์ คลอด นรีเวช 15.ชัก 16.ป่วย อ่อนเพลีย ไม่ทราบสาเหตุจำเพาะ 17.อัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนแรง สูญเสียการรับความรู้สึก ยืนหรือเดินไม่ได้เฉียบพลัน 18.หมดสติ ไม่ตอบสนอง หมดสติชั่ววูบ 19.เด็ก กุมารเวช 20.ถูกทำร้าย 21.ไหม้ ลวก เหตุความร้อน สารเคมี ไฟฟ้าช็อต 22.ตกน้ำ จมน้ำ บาดเจ็บทางน้ำ 23.พลัดตกหกล้ม อุบัติเหตุ เจ็บปวด 24.อุบัติเหตุยานยนต์ และ 25.อื่น ๆ
นอกเหนือจากแพทย์ "เวลา" เป็นปัจจัยสำคัญของการรักษา ผู้ป่วย โดยเฉพาะในกรณีฉุกเฉินวิกฤติที่เพียงเสี้ยววินาทีก็สามารถชี้ เป็นชี้ตายชีวิตคนได้ ดังนั้น การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้น รวมถึงใช้สิทธิที่จะรับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็มีโอกาสรักษาชีวิตคนได้มากขึ้น. |
| | |
|
| |
|
pageview 1204395 |
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO) ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th | | |
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved
|
| |