ในบรรดาความเสียหายที่เกิดกับผิวพรรณแล้ว"รอยแผลเป็น" จะเป็นสิ่งที่สร้างความหวาดหวั่นให้กับผู้หญิงมากที่สุด เนื่องจากมีทั้งร่องรอยที่สามารถเห็นได้ชัดเจน รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดก้อนเนื้อนูนหรือเรียกว่า คีลอยด์ ขึ้นได้
ด้วยเหตุนี้การแพทย์จึงพยายามค้นหากรรมวิธีที่จะลบและป้องกันการเกิดแผลเป็นให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจุบันการลบเลือนรอยแผลเป็นดูจะมีความก้าวหน้ามากกว่าการป้องกัน แพทย์หญิง วิทนีย์ บราวน์ ผู้อำนวยการการแพทย์ด้านความงามและเลเซอร์ ศูนย์โรคผิวหนังชั้นสูง นครนิวยอร์กได้ให้คำแนะนำถึงวิธีหลีกเลี่ยงการเกิดแผลเป็น
แพทย์หญิงวิทนีย์ กล่าวว่า ต้นเหตุของสิ่งที่เรียกว่าแผลเป็นนั่นก็คือ ความผิดปกติของร่างกายที่สร้างคอลลาเจนขึ้นมาปกคลุมบริเวณบาดแผลมากผิดปกติ ทำให้แผลมีลักษณะนูนขึ้นมาจากระดับผิวโดยรอบ
การปฏิบัติที่เหมาะสมเมื่อเกิดบาดแผลเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการเกิดแผลเป็น โดยสิ่งสำคัญที่ขัดกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่คือ ให้พยายามปล่อยแผลเป็นเอาไว้เฉยๆ การรบกวนเนื้อเยื่อบริเวณแผลด้วยการขัดถูจะยิ่งทำให้เกิดความผิดปกติได้ง่าย
นอกจากนี้ การใช้ยาหรือครีมต่างๆ ทาบริเวณแผลอาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้จากส่วนผสมที่อยู่ในครีม ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็นเช่นกัน
สิ่งที่ควรทำคือ อย่าปล่อยให้แผลแห้งเกินไป โดยอาจใช้ปริโตเลียม เจลลี่ ทาบาดแผลเพื่อรักษาความชื้น และระวังอย่าให้บาดแผลถูกแสงแดดมากนักเนื่องจากจะทำให้เม็ดสีบริเวณแผลผิดปกติ โดยอาจปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ยาธรรมดาก็ได้
หลายคนอาจเคยได้ยินว่าสารบางอย่างสามารถลดการเกิดแผลเป็นได้ ซึ่งแพทย์หญิง วิทนีย์ ให้ความเห็นว่า วิตามินอีเป็นหนึ่งในสารที่ถูกอ้างถึงในเรื่องลดการเกิดแผลเป็น แม้วิตามินอีจะมีสรรพคุณต่อต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ แต่จากการใช้งานพบว่า ผู้ป่วยหลายคนเกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองเมื่อใช้ครีมที่มีวิตามินอีอยู่
"โดยส่วนตัวเห็นว่า การที่ใช้ครีมเหล่านี้แล้วได้ผล จะเป็นเพราะครีมช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้แผลมากกว่าจะเป็นผลของสารต่างๆ ที่ผสมอยู่"
อย่างไรก็ตาม มีวิธีการหนึ่งที่อาจได้ผลนั่นคือ เจลซิลิโคนซึ่งเป็นการรักษาโดยใช้แผ่นกาวที่มีซิลิโคนทาอยู่ปิดเหนือแผลแรงกดจากแผ่นปิดนี้อาจช่วยลดกระบวนการเกิดแผลเป็นได้บ้างแต่วิธีนี้มีค่าใช้จ่ายที่สูงและกินเวลานานกว่า 2 ปี อีกทั้งยังไม่มีการรับรองผลอีกด้วย
สำหรับความเชื่อแบบพื้นบ้านนั้น การใช้น้ำผึ้งทาแผลจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด เนื่องจากน้ำผึ้งมีน้ำตาลอยู่มากจึงสามารถฆ่าเชื้อโรคและราบนแผลได้ แต่เมื่อคำนึงถึงการใช้งานแล้วการใช้ปริโตเลียมเจลลี่ยังคงเหมาะสมกว่า
ด้านการรักษาด้วยกระบวนการทางการแพทย์ การใช้เลเซอร์ V-Beam จะเหมาะกับแผลเป็นที่มีสีแดง และเลเซอร์แบบ Fraxel เหมาะกับแผลเป็นจากสิว ส่วนแผลเป็นที่หนาสามารถทำให้แบนลงได้ด้วยการฉีดคอร์ติโซน
ที่มา : lifehacker.com |