Follow us      
  
  

กรุงเทพธุรกิจ [ วันที่ 04/07/2561 ]
วิธี ฟื้นฟูร่างกาย ในถ้ำ คาด1สัปดาห์ภาวะปกติ

  กรุงเทพธุรกิจ "ความเสี่ยง" หลังภาวะอดอาหาร ของเด็กๆ ทีมหมูป่าและโค้ชที่ติดอยู่ในถ้ำนานถึง 10 วัน คือ กลุ่มอาการความผิดปกติทาง "เมตาบอลิก" สภาวะในขณะนี้จึงเป็นเหตุสำคัญที่ยังไม่สามารถเคลื่อนย้าย 13 ชีวิตออกมาจากถ้ำได้ทันที
          แพทย์และผู้เชี่ยวชาญ ได้อธิบายถึงการฟื้นฟูสภาพร่างกายของเด็กๆ ในสถานการณ์นี้ว่า ยังไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่มีกระบวนการที่จะค่อยๆ เติมอาหาร ประเภทใดบ้าง เพื่อให้สภาพร่างกายค่อยๆ ฟื้นตัวกลับคืนมา
          นักวิชาการด้านโภชนาการ รศ.วันทนีย์ เกรียงสินยศ ประธานหลักสูตรโภชนาการและการกำหนดอาหาร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุถึงอาหารที่เหมาะสมในช่วงเวลาหลังไม่ได้รับอาหารหลายวันว่า เมื่อไม่รับประทานอาหารเป็นระยะเวลานาน ร่างกายจึงนำพลังงานที่เก็บไว้มาใช้ ข้อที่สำคัญที่สุด คือ ต้องค่อยๆให้อาหารไม่สามารถให้ในปริมาณมากๆ ได้ ถึงแม้จะบอกว่าหิวมาก เพราะทั้ง 13 คนขาดอาหารมานาน อาจจะเกิดอันตราย ที่สำคัญในระยะเริ่มต้นอาจจะให้ปริมาณ 1 ใน 4 หรือ 1 ใน 5 ของอาหารที่เคยได้รับมาก่อน โดยรูปแบบอาหารที่เหมาะสมในช่วงแรก ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่ายและร่างกายนำไปใช้ได้ง่าย อาจเป็นแบบน้ำหรือซุปที่จะย่อยได้ง่ายแล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเป็น 10 กิโลแคลอรีต่อน้ำหนักตัว
          ด้วยเหตุผลที่ว่าช่วงที่อดอาหาร การเผาผลาญพลังงานที่ได้มาจากส่วนประกอบของร่างกายอื่นๆ เมื่อกลับมาได้รับอาหารซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มข้าวและแป้ง ที่มีการย่อยพวกคาร์โบไฮเดรต จึงต้องใช้ระยะเวลาหนึ่ง และเนื่องจากแร่ธาตุในร่างกายที่ช่วยในการเผาผลาญอาจจะขาดหายไปไม่เพียงพอ มีความจำเป็นต้องให้วิตามินและเกลือแร่ด้วย โดยเฉพาะ วิตามีนบี 1 โปแตสเซียม ฟอสฟอรัสและแมกนีเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีความจำเป็นในการเผาผลาญกลุ่มอาหารข้าว แป้งให้เข้าไปก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อให้อาหารเข้าไปในร่างกายแล้ว ร่างกายจะสามารถนำไปใช้ได้และไม่เกิดผลเสียต่อร่างกาย
          รศ.วันทนีย์ กล่าวด้วยว่า วิตามินบี 1 ช่วยให้ร่างกายนำพลังงานจากอาหารประเภทข้าวแป้งมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานในร่างกายสมบูรณ์ ฟอสฟอรัส เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน จำเป็นสำหรับปฏิกิริยาที่เกี่ยวกับการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสถูกผ่านผนังลำไส้เล็กและผ่านเข้าเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย โปแตสเซียม ช่วยในการทำปฏิกิริยาของเอนไซม์ต่างๆ ภายในเซลล์มีส่วนช่วยในการเมตาบอลิซึมคาร์โบไฮเดรต รักษาสมดุลของน้ำและความเป็นกรดด่างของร่างกาย และแมกนีเซียมจำเป็นต่อการปล่อยพลังงานภายในเซลล์ ควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ ควบคุมการส่งต่อ หรือการถ่ายทอดสัญญาณกระตุ้นประสาท ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นของเอนไซม์หลายชนิดในเมแทบอลิซึม
          "กลุ่มอาการหลังการได้รับสารอาหาร (Refeeding syndrome) คือกลุ่มของความผิดปกติทางเมตาบอลิกที่เกิดขึ้นหลังจากที่อยู่ในภาวะอดอยาก หรือขาดสารอาหารอย่างหนัก ได้รับสารอาหารอย่างรวดเร็ว โดยในช่วง 4-7 วันหลังเริ่มให้อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงจะกระตุ้นให้ร่างกายกลับมาสร้างไกลโคเจน ไขมัน และโปรตีน อาจทำให้เกิดการลดต่ำลงของระดับเกลือแร่ในเลือดที่สำคัญ เช่น โปแตสเซียมแมกนีเซียม และฟอสฟอรัส อาจมีอาการทางระบบหัวใจ ปอด และระบบประสาท การมีเกลือแร่ผิดปกติเหล่านี้หากเป็นมากอาจเสียชีวิตได้ จึงอาจต้องมีการให้วิตามินและเกลือแร่เหล่านี้ก่อนให้ทานอาหาร หลังจากค่อยปรับการทานอาหารและเด็กได้รับอาหารวันละ 10 กิโลแคลอรีต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม น่าจะได้ราวๆ วันละ 500-600 กิโลแคลอรีขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวแต่ละคน เชื่อว่าประมาณ 1 สัปดาห์น่าจะกลับมาทานอาหารได้ปกติ" รศ.วันทนีย์ กล่าว
          นพ.ไพโรจน์ เครือกาญจนา หัวหน้ากลุ่มงานเวชศาสตร์ฉุกเฉินและศูนย์กู้ชีพนเรนทรโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า การไม่ได้รับประทานอาหาร 10 วัน ไม่ได้เรียกว่านานมาก เพราะหากดูในการบันทึกผู้ที่ไม่ได้ทานอาหารเลยนานเป็นเดือนยังมีร่างกายที่ดีอยู่ แต่จะต้องมีน้ำ เพราะอาหารแม้ไม่รับประทานบางทีก็จะยังพออยู่ได้ แต่หากไม่มีน้ำเลย เป็นเวลานานๆ ร่างกายไม่น่าจะไหว แต่อย่างน้อยหากมีน้ำเข้าไปแม้จะทีละนิดๆ สภาพร่างกายยังพอตอบสนองและปรับตัวได้ แต่หากไม่ได้รับอาหารและน้ำเลยภายใน 7 วันก็น่าจะอยู่ในลักษณะที่ต้องหามออกมา
          ในช่วง 10 วันหากได้รับน้ำเข้าไปทีละเล็กน้อย ระบบทางเดินอาหารของร่างกายไม่น่าจะมีภาวะอะไรมาก อย่างเช่น คนไข้ที่ผ่าตัดก็จะให้งดอาหาร แต่จะให้น้ำเกลือ ซึ่งในระหว่างที่ไม่สบายลำไส้จะไม่ค่อยทำงานอะไรมาก ตรงจุดนี้ลำไส้ก็จะเริ่มปรับตัว เมื่อจะให้คนที่ไม่ได้ทานอาหารเป็นเวลานานได้รับอาหาร ก็จะต้องให้การกระตุ้นลำไส้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การจับลุกนั่ง ลำไส้จะค่อยๆขยับทีละเล็กทีละน้อย ทำให้สภาพลำไส้ค่อยๆกลับคืนมา
          "เท่าที่รับทราบเบื้องต้นจากข่าวการช่วยเหลือทั้ง 13 คน เรียกได้ว่าน่าจะค่อยๆตอบสนองที่ดี แต่จะต้องรอดูอีกสักนิดว่าหลังจากได้ทานอาหารไปแล้ว 2-3 มื้อ ความแข็งแรงจากการประเมิน 13 คนของเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปช่วยเหลือว่าอาการค่อยๆกลับคืนมาสักเท่าไหร่ และเมื่อกลับคืนมาได้แล้วจึงค่อยประเมินต่อว่าจะพาออกมาโดยวิธีไหน"
          นพ.ไพโรจน์ กล่าวอีกว่า เมื่อมีการประเมินสภาพร่างกายทั้ง 13 คนแล้ว ในกรณีมีภาวะไม่รุนแรงจากนั้นอยู่ที่ขั้นตอนที่จะนำออกมาว่าจะใช้วิธีไหน ที่คิดว่าน่าจะปลอดภัยเหมือนปกติตอนที่เขาเข้าถ้าไปได้และออกมาพร้อมกันทั้งหมด แต่หากมีคนที่ไม่สมบูรณ์มีภาวะบางอย่างที่รุนแรง เพราะความแข็งแรงของร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้จะเผชิญสถานการณ์เดียวกัน ตรงจุดนี้คงต้องประเมินว่าการที่จะพาออกมาได้นั้นต้องกระทำโดยวิธีไหนขึ้นอยู่กับอาการที่เป็นอยู่ในระดับของสภาพร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง
          หากอยู่ในระดับโอเค แต่การได้รับประทานอาหาร 2-3 มื้อยังไม่สามารถฟื้นกลับคืนมาได้ ต้องประเมินว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ อาจจะยืดเวลาการให้ทานอาหารหรือฟื้นฟูอื่นๆไป แต่กรณีที่หากเริ่มไม่สบายด้วย ต้องพิจารณาภาวะของโรคนั้นว่าจะสามารถหายได้ภายในเวลาเท่าไหร่ จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือในการรักษาอะไรอื่นอีกหรือไม่ หากเป็นเพียงการให้ยาก็สามารถส่งเข้าไปได้

 pageview  1205066    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved