Follow us      
  
  

บ้านเมือง [ วันที่ 05/02/2555 ]
'ความรุนแรงในครอบครัวษเราเปลี่ยนได้'
          จากสถานการณ์ความรุนแรงในประเทศไทยที่ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ ส่งผลกระทบต่อเด็กและสตรีเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะความรุนแรงในครอบครัว ที่ทำให้ผู้ถูกทำร้ายไม่กล้าไปร้องเรียน หรือไม่รู้แม้กระทั่งว่าต้องไปร้องเรียนที่ไหนกับใคร และเมื่อไปร้องเรียนแล้ว จะเกิดความเชื่อมั่นได้อย่างไร ว่าจะช่วยเหลือได้จริง ซึ่งผลที่ตามมาของผู้ถูกกระทำคือหนีไม่พ้น สภาพจิตใจย่ำแย่ ร่างกายบอบช้ำ!!!
            ด้วยสาเหตุดังกล่าวจึงทำให้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล โดยการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เล็งเห็นถึงความสำคัญ ร่วมจัดกิจกรรมเปิดตัวโครงการ "ความรุนแรงในครอบครัว เราเปลี่ยนได้" เพื่อหวังให้เกิดกลไกการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 และ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 
           สำหรับเรื่องนี้ นายสมชาย เจริญอำนวยสุข ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) อธิบายถึงแนวทางแก้ไขปัญหาว่า ทาง พม.จะผลักดัน พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาใช้ในการแก้ปัญหาความรุนแรงโดยจะสร้างเจ้าหน้าที่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อรับเรื่องร้องเรียนตลอดจนให้ความช่วยเหลือผู้ถูกกระทำและบำบัดผู้กระทำความรุนแรง โดยจะสร้างความรู้ความชำนาญให้เจ้าหน้าที่ที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดแนวทางปฏิบัติร่วมกันที่ชัดเจน ขณะนี้ พม.ได้ร่วมกับทุกภาคส่วนจัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติในการดูแลผู้ได้รับความรุนแรงอย่างถูกต้องขึ้น โดยจะนำร่องทดลองในพื้นที่จังหวัดพังงาและกรุงเทพฯ เป็นเวลา 1 ปี เนื่องจากทั้งสองพื้นที่มีความแตกต่างกันในเรื่องของปัญหาและขนาดพื้นที่ จากนั้นจะนำคู่มือดังกล่าวมาพัฒนาและปรับปรุงใหม่เพื่อใช้เป็นแนวทางเดียวกันทั่วประเทศ สำหรับ ผู้มีปัญหาหรือพบเห็นการกระทำความรุนแรงในครอบครัว สามารถแจ้งมาได้ที่ ศูนย์ประชาบดี หมายเลข 1300 หรือมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล โทร.0-2513-2889 
            ขณะที่ นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล อธิบายว่า ในแต่ละปีมักพบว่า มีข่าวเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวมากถึง 300-400 ข่าว โดยส่วนใหญ่เป็นคดีทำร้ายร่างกาย การฆ่ากัน ระหว่างสามีและภรรยา ส่วนสาเหตุมาจากความหึงหวง และผู้ก่อเหตุส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ชายหรือสามี ในจำนวนนี้มีประมาณ 1 ใน 5 ที่มีปัจจัยการ กระตุ้นจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ผู้ก่อเหตุติดเหล้า ดื่มเหล้าก่อนกระทำ บางรายติดยาเสพติดร่วมด้วย สอดคล้องกับสถิติของศูนย์ข้อมูลความรุนแรงต่อเด็กและสตรี และความรุนแรงในครอบครัว ในระหว่างเดือนมกราคมมิถุนายน 2554 ที่พบว่า ผู้ถูกกระทำความรุนแรงมีมากถึง 194 ราย ขณะเดียวกัน พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 และ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 อาจจะยังไม่ครอบคลุม ดังนั้นการสร้างกลไกในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน โดยทางมูลนิธิฯ และองค์กรภาคประชาชน พร้อมที่จะสนับสนุนและฟื้นฟูเพื่อลดปัญหาความรุนแรง ซึ่งเรามีเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญ และมีผู้ชายต้นแบบที่เคยผ่านการกระทำความรุนแรงมาก่อน จนตอนนี้สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้แล้วและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ ให้คำปรึกษากับผู้ที่มีปัญหาได้
            ด้าน ศ.เกียรติคุณ พญ.เพ็ญศรี พิชัยสนิธ นายกสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ กล่าวว่า พฤติกรรมส่วนบุคคล ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดความรุนแรง ก้าวร้าว ควบคุมตนเองไม่ได้ ขาดทักษะการใช้ชีวิต นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กมาจากครอบครัวที่ชอบใช้ความรุนแรง เช่น พ่อทำร้ายแม่ ด่ากัน พฤติกรรมเหล่านี้เด็กจะซึมซับโดยไม่รู้ตัว และเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อโตไปมีครอบครัวจะมีแนวโน้มการใช้ความรุนแรงกับครอบครัวตนเอง เช่นเดียวกับครอบครัวพ่อแม่ของตนเองเช่นกัน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะถ่ายทอดไปยังรุ่นลูก รุ่นหลาน เหมือนโรคติดต่อทางพันธุกรรม ทั้งๆ ที่พฤติกรรมใช้ความรุนแรงไม่ใช่โรคติดต่อที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่เป็นพฤติกรรมเลียนแบบที่น่าเป็นห่วงและจำเป็นต้องได้รับการบำบัดและฟื้นฟู เพราะไม่เช่นนั้นแล้วสังคมไทยจะมีแต่ครอบครัวที่นิยมใช้ความรุนแรงที่มาจากพฤติกรรมเลียนแบบของพ่อและแม่ได้
            หากจะมีการช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกกระทำความรุนแรงต้องพัฒนาทั้ง 3 ด้านคือ ด้านการแพทย์ กฎหมาย ด้านการสังคมสงเคราะห์ ซึ่งต้องมีการทำงานที่ประสานกันโดยเฉพาะการส่งต่อ และเพิ่มศักยภาพของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการบำบัดและฟื้นฟูผู้ถูกกระทำ ซึ่งในอดีตยังไม่มีการจัดคลินิกเพื่อการบำบัดและฟื้นฟูอย่างเป็นทางการ แต่จะมีการดูแลเป็นเฉพาะกรณีๆ ไป ทั้งๆ ที่ทุกโรงพยาบาลมีจิตแพทย์และเจ้าหน้าที่ ดังนั้นในวันนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย จึงร่วมกันผลักดันให้สถานพยาบาลที่มีความพร้อมร่วมกันจัดตั้งคลินิก เพื่อบำบัดและฟื้นฟูผู้ถูกกระทำและผู้กระทำความรุนแรง โดยมีจิตแพทย์เป็นผู้ออกแบบโปรแกรมการรักษาที่เหมาะสมให้กับผู้ที่ต้องได้รับการบำบัดและฟื้นฟู เพื่อให้บุคคลเหล่านี้กลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างสมบูรณ์ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
 pageview  1206115    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved