Follow us      
  
  

ไทยโพสต์ [ วันที่ 03/01/2563 ]
ชงเปลี่ยน7วันแห่งความสุข

 วันที่ 6 ของ 7 วันอันตรายปีใหม่ 63 ยอดเสียชีวิตจากอุบัติเหตุพุ่งเป็น 317 ศพ ผู้บาดเจ็บรวม 3,160 ราย "บิ๊กตู่" ไอเดียกระฉูดเสนอเปลี่ยนชื่อ 7 วันอันตรายฟังแล้วไม่สร้างสรรค์ อยากให้เปลี่ยนเป็น 7 วันเทศกาลแห่งความสุข
          เมื่อวันที่ 2 มกราคม นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาด ไทย (มท.) แถลงข่าวสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ว่า วันที่ 1 ม.ค.2563 ซึ่งเป็นวันที่หกของช่วง 7 วันอันตรายปีใหม่ และการรณรงค์ "ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร" เกิดอุบัติเหตุ 547 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 55 ราย ผู้บาดเจ็บ 577 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 39.31 ขับรถเร็ว ร้อยละ 28.34 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 79.35 ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง 65.81 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 36.75 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 35.83 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา00.01-04.00 น. ร้อยละ 30.71
          จากการจัดตั้งจุดตรวจหลัก 2,036 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 64,989 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 1,014,405 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 246,328 ราย มีความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัย 61,416 ราย ไม่มีใบขับขี่ 55,467 ราย โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ สงขลา 32 ครั้ง
          จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ราชบุรี และอุดรธานี จังหวัดละ 4 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ สงขลา 35 คน สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 6 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค. 2562-1 ม.ค.2563 เกิดอุบัติเหตุรวม 3,076 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 317 ราย ผู้บาดเจ็บรวม 3,160 คน จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตหรือตายเป็นศูนย์ มี 7 จังหวัด ได้แก่ ตราด พะเยา ภูเก็ต แม่ฮ่องสอน ยะลา ลำพูน และสตูล จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ สงขลา 95 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 14 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ สงขลา 100 คน
          นายทรงศักดิ์กล่าวว่า ประชาชนบางส่วนยังคงอยู่ระหว่างการเดินทางกลับ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) จึงได้ประสานจังหวัดดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนตลอดเส้นทาง เปิดช่องทางพิเศษเพื่อเร่งระบายรถ และปิดจุดเสี่ยงอุบัติเหตุ อาทิ ตั้งกรวยริมไหล่ทาง ปิดจุดกลับรถ เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง ทั้งขับรถเร็ว ดื่มแล้วขับ ไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย ประเมินความพร้อมของผู้ขับขี่ อำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยแก่ประชาชนที่ยังคงตกค้างบริเวณสถานีขนส่ง ท่าอากาศยาน ท่าเทียบเรือ และสถานีรถไฟทุกแห่งให้เดินทางกลับได้อย่างปลอดภัย
          ด้านนายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เลขานุการ ศปถ. กล่าวว่า จากการวิเคราะห์สถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วง 6 วันที่ผ่านมา พบว่า สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่ยังคงเกิดจากการดื่มแล้วขับ และขับรถเร็ว จึงขอฝากเตือนประชาชนให้เตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนขับรถ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มไม่ขับ เพิ่มความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนน ไม่ขับรถเร็ว เว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติ ไม่ตัดหน้าในระยะกระชั้นชิด ปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด และมีน้ำใจต่อผู้ร่วมใช้เส้นทาง เพื่อให้ทุกคนเดินทางถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย
          วันเดียวกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าอยากให้ยกเป็นกรณีศึกษายอดผู้บาดเจ็บและศูนย์เสียจากการจราจรช่วงปีใหม่ จะต้องพิจารณาว่าเป็นการเสียชีวิตลักษณะใด รวมถึงช่วงเวลาเพื่อนำไปแก้ไขต่อไป
          7 วันแห่งความสุข
          "ในส่วนของหน่วยงานราชการทำเต็มที่แล้ว ก็เป็นเรื่องของประชาชนที่ต้องระมัดระวังตัวเองด้วย แม้ว่าจากการรายงานยอดการสูญเสียจะน้อยลง แต่ผมก็ไม่สบายใจ เพราะยังมีผู้เสียชีวิตกว่าร้อยคน หวังว่าในห้วงต่อไปเช่นเทศกาลสงกรานต์จะทำอย่างไรที่จะลดผู้เสียชีวิตลงได้"
          นายกฯ กล่าวว่า สำหรับชื่อ 7 วันอันตรายฟังแล้วไม่สร้างสรรค์อยากให้เปลี่ยนเป็น 7 วันเทศกาลแห่งความสุขได้หรือไม่ เพื่อให้นึกถึงความสุขและความปลอดภัย เพราะมีผลกระทบทั้งตนเอง ลูกหลาน และค่ารักษาพยาบาล จึงมีความจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจประเภทนี้ พร้อมกันนี้ตนได้ให้แนวคิดเรื่องการทำถนนหนทางหรือการขยายช่องทางจราจรให้มากขึ้น หากมีความเป็นไปได้สามารถสร้างให้เส้นทางใดเสร็จก่อนก็ให้ดำเนินการทันที รวมถึงการปลูกสร้างขอให้อยู่ห่างไกลจากถนนหลัก ป้องกันปัญหาในอนาคตหากมีการขยายถนนออกไป
          พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ในที่ประชุม ครม.วันนี้ได้มีการสรุปผลการดำเนินการจัดงานปีใหม่ในแต่ละพื้นที่ และขอบคุณเจ้าหน้าที่และจิตอาสาที่เข้ามาช่วยกันจำนวนมาก ทำให้การจัดงานปีใหม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยทั้งพื้นที่ กทม.และต่างจังหวัด รวมถึงการช่วยกันดูแลปัญหาจราจร ทั้งนี้ ปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากถนนสายรองและผู้ที่สูญเสียคือวัยหนุ่มสาว เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง เพราะสถิติการเพิ่มของประชากรน้อยลง การสูญเสียคนหนุ่มสาวเท่ากับสูญเสียแรงงาน ขอย้ำทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน รัฐบาลทำฝ่ายเดียวไม่ได้ อย่างในพื้นที่ กทม.มีผู้ร้องเรียนผู้ใช้รถจักรยานยนต์จำนวนมากกว่ามีการขับรถปาดซ้ายปาดขวาหรือแซงขึ้นมาอยู่ต้นทางไฟแดง ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งและความไม่เอื้ออาทรต่อกัน เมื่อรถติดไฟแดง รถอยู่ตรงไหนก็ขอให้อยู่ตรงนั้น ไม่ต้องพยายามขึ้นมาข้างหน้า
          พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหารและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมกันเสียสละปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของประชาชนและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ตลอดจนร่วมกันอำนวยความสะดวกการสัญจรของประชาชนและคุมเข้มมาตรการต่างๆ เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ตลอดเวลาเทศกาลแห่งความสุขของประชาชนในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา
          พร้อมทั้งขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมืออย่างดีและเข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐในมาตรการดูแลความปลอดภัยต่างๆ และการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่กำหนดเพื่อส่วนรวม แม้อาจไม่ได้รับความสะดวกบ้าง อย่างไรก็ตาม ต้องขอแสดงความเสียใจและเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่ผ่านมา ซึ่งภาพรวมสถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนของไทยยังมีอัตราสูง สาเหตุหลักจากผู้ขับขี่เมาแล้วขับ การขับรถเร็ว และละเลยกฎจราจร
          พล.อ.ประวิตรยังได้กำชับให้ฝ่ายปกครอง ตำรวจและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำเป็นต้องคุมเข้มมาตรการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจราจรและการขนส่งต่อเนื่องกันไป พร้อมทั้งร่วมรณรงค์สร้างความเข้าใจกับประชาชนควบคู่กันตลอดทั้งปี ทั้งนี้ ต้องขอความร่วมมือสังคมได้ตระหนักถึงการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่ผ่านมา และใช้เป็นอุทาหรณ์ร่วมกันดูแลความปลอดภัยในครอบครัวด้วยการปลูกฝังวินัยจราจรและความปลอดภัยบนท้องถนนไปด้วยกัน เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างเป็นผลร่วมกันในภาพรวม
          "เจี๊ยบ" ตอบโต้ทุกเม็ด
          พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในช่วงการรณรงค์ลดอุบัติเหตุ 7 วันอันตรายว่า ต้องนำสิ่งที่เกิดขึ้นไปวิเคราะห์ว่ามาตรการใดที่ทำแล้วเกิดผลให้จำนวนในอุบัติเหตุลดลง โดยเฉพาะจำนวนของผู้เสียชีวิตซึ่งจะต้องไปหามาตรการที่ต้องทำต่อเนื่องเพื่อให้ลดจำนวนลงได้มากกว่านี้ พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายและอำนวยความสะดวกในทุกด้านด้วยการปรับแผนให้สอดคล้องกับพื้นที่ มาตรการในถนนสายรองจากนี้ กระทรวงมหาดไทยจะต้องนำตัวเลขอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไปวิเคราะห์ก่อนว่าระหว่างสายหลักกับสายรองส่วนใดมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นน้อยกว่ากัน และต้องไปดูว่าเกิดจากมาตรการใด
          ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า แม้จะขึ้นปีใหม่แล้ว แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับยังพูดและคิดแบบไม่เข้าท่าเหมือนเดิม โดยเฉพาะการเสนอไอเดีย เปลี่ยนชื่อเรียก 7 วันอันตราย เพื่อลดอุบัติเหตุ ทั้งๆ ที่นั่นไม่ใช่การแก้ปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนที่ถูกจุด แต่ต้องแก้ด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกการเคารพกฎจราจรของประชาชน และรณรงค์ให้ลดการบริโภคสิ่งมึนเมาต่างๆ โดยต้องปลูกฝังตั้งแต่ยังเป็นเด็ก รวมทั้งต้องออกแบบและบำรุงรักษาถนนหนทางให้ปลอดภัยสำหรับการขับขี่ เป็นต้น แต่เชื่อว่ารัฐบาลประยุทธ์คงทำไม่สำเร็จหรอก ตราบใดที่ผู้ผลิตสุราหรือเจ้าของอบายมุขรายใหญ่ๆ ของประเทศยังเป็นผู้สนับสนุนหลักของรัฐบาลอยู่อย่างนี้ เพราะถ้ายอดขายตก นายทุนเหล่านี้จะเอาเงินที่ไหนมาให้รัฐบาล
          ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ตำหนิและพูดเหยียดคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่ชอบไปจอดรอไฟแดงบังหน้ารถเก๋งนั้น แสดงว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เห็นใจหัวอกคนทำมาหากินที่เขาต้องรีบเดินทางให้ถึงจุดหมายปลายทางเช่นกัน แต่ประชาชนตาดำๆ เขาไม่ได้มีรถนำขบวนเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ เขาจึงต้องทำอย่างนั้น หาก พล.อ.ประยุทธ์ อยากบอกให้เขาเคารพกฎจราจร พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องสื่อสารอีกแบบหนึ่ง โดยควรเลือกใช้คำพูดอื่น เพราะพูดแบบนี้ ฟังแล้วอาจเข้าใจว่าคนจนไม่มีสิทธิ์จะรีบไปไหนบ้างหรือยังไง ทั้งนี้ คนเป็นนายกฯ ควรต้องระมัดระวังการใช้คำพูดให้มากกว่านี้ เพราะการใช้ภาษาถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และสามารถนำไปสู่ความแตกแยกในสังคมได้
          "ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จะพูดอะไรก็ควรระวังปากมากกว่าคนอื่นๆ เพราะท่านกำลังสวมหัวโขนนายกฯ ซึ่งการที่ท่านพูดแบบนี้ มันสะท้อนความกลวง และความไม่ระวังปากข้ามปีข้ามชาติของนายกฯ แต่หากมันยากเกินไปสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะพัฒนาตัวเอง ท่านก็ควรถอดหัวโขน แล้วลาออกไป คนอื่นจะได้ถือโอกาสเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำ เพราะความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลประยุทธ์ไปในคราวเดียวกันซะเลย" ร.ท.หญิงสุณิสากล่าว.

 pageview  1205090    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved