Follow us      
  
  

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ [ วันที่ 10/11/2563 ]
เฮวัคซีนได้ผล90%

2 บริษัทมะกันกำลังขออนุมัติ คาดสิ้นปีนี้ผลิตได้ 50 ล้านเข็ม
          ททท.โวต่างชาติอยากมาเที่ยวไทยเพียบ พร้อมขยายข้อจำกัด จากเดิมนักท่องเที่ยวที่ถือวีซ่าแบบพิเศษต้องมาเครื่องบินเช่าเหมาลำ ก็ให้มากับเที่ยวบินพาณิชย์เข้า-ออกประเทศได้ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ ใจป้ำกว่าผ่อนคลายให้นักท่องเที่ยวจากชาติยุโรปเข้าไทยได้ด้วย แต่ให้อยู่ในประเทศได้สูงสุดแค่ 90 วัน พร้อมต้องโชว์เงินในบัญชี 5 แสนบาท ขณะที่กรณีชายอินเดียที่กระบี่ติดโควิด-19 พบผู้สัมผัสใกล้ชิดในเชียงใหม่-สุโขทัย ทยอยเข้าตรวจเชื้อ-กักตัวตามมาตรการเฝ้าระวังแล้ว ผวจ.สุโขทัย ย้ำคนที่ไปเที่ยวงานลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ หากมีอาการป่วยเกี่ยวกับโรคระบบทางเดินหายใจ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อตรวจหาเชื้อทันที
          แม้ขณะนี้รัฐบาลโดยศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยังไม่ปลดล็อกระยะเวลาในการกักตัวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เดินทางเข้าไทยจาก 14 วันเหลือ 10 วัน แต่ล่าสุดมีการเปิดกว้าง ไม่ได้จำกัดเฉพาะประเทศความเสี่ยงต่ำเข้าไทยเท่านั้น โดยเมื่อวันที่ 9 พ.ย. น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศเริ่มผ่อนคลายการออกวีซ่าประเภทต่างๆ แก่ชาวต่างชาติมากขึ้น เพื่อลดข้อจำกัดในการเดินทางเข้าประเทศไทย แต่สิ่งที่ไม่ผ่อนคลายคือการกักตัว 14 วัน ไม่ว่าจะถือวีซ่าประเภทใดเข้ามา โดยก่อนหน้านี้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบวีซ่าประเภทใหม่ สเปเชียล ทัวร์ริสต์วีซ่า หรือวีซ่า STV ที่อยู่ในไทยได้ 90 วัน ต่อได้อีกสองครั้ง หรือสูงสุด 270 วัน แต่มีข้อกำหนดหลายประการ เช่น ต้องมาด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำหรือไพรเวทเจ็ตเท่านั้น ขณะที่ตอนนี้เริ่มมีความต้องการของนักท่องเที่ยวเข้าไทยมาก จะเริ่มมีเที่ยวบินพาณิชย์เข้า-ออกประเทศไทย ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่ถือวีซ่าเอสทีวีจะเดินทางโดยเที่ยวบินพาณิชย์ได้ด้วย โดยรัฐบาลไม่ต้องไปแก้ไขกฎกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากในราชกิจจานุเบกษาไม่ได้ระบุการจำกัดประเภทของเที่ยวบินเอาไว้
          รองผู้ว่าฯการ ททท.กล่าวอีกว่า ส่วนอีกเงื่อนไขที่วีซ่าเอสทีวีจะออกให้เฉพาะประเทศที่มีผู้ติดเชื้อต่ำ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดและมีการเปลี่ยนแปลง ทุก 15 วัน ทำให้นักท่องเที่ยวจากยุโรปไม่สามารถขอวีซ่าประเภทนี้ได้ ทางกระทรวงการต่างประเทศ จึงผ่อนคลายให้ขอวีซ่านักท่องเที่ยวปกติ (TR-Tourist VISA) ได้ โดยให้ขึ้นกับดุลพินิจของสถานกงสุลในแต่ละประเทศ ซึ่งวีซ่าประเภทนี้อยู่ในไทยได้ 60 วัน และต่อได้อีก 30 วัน แต่มีเงื่อนไขเพิ่ม ต้องแสดงรายการเงินในบัญชีไม่ต่ำ 500,000 บาท อย่างไรก็ตาม วีซ่าทุกประเภทต้องได้รับใบอนุญาต เดินทางเข้าประเทศ (COE) ด้วย ซึ่งมีข้อกำหนดต้องมีใบรับรองแพทย์ และตรวจโควิดก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมง ประกันสุขภาพ 100,000 เหรียญสหรัฐฯ และประกันผู้ป่วยนอก 40,000 บาท และต้องกักตัว 14 วัน ส่วนวีซ่าเอสทีวีต้องโชว์หลักฐานการจองที่พักและใบเสร็จที่จ่ายเงินแล้วของสถานที่อยู่ต่อหลัง 14 วัน แต่ดีกว่าตรงที่อยู่ได้ถึง 270 วัน
          ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาไทยผ่านวีซ่าประเภทต่างๆ โดยข้อมูล ณ วันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้ออกใบอนุญาตเข้าประเทศ (COE) แล้ว 1,465 ราย เช่น วีซ่าสำหรับผู้พำนักระยะยาวสำหรับชาวต่างชาติที่อายุ 50 ปีขึ้นไป หรือ OA จำนวน 501 ราย, วีซ่าสำหรับผู้ที่เข้ามาติดต่อหรือประกอบธุรกิจ และการทำงานในประเทศไทย หรือ Non-B 113 คน, วีซ่า STV 331 ราย, วีซ่าของไทยแลนด์อีลิท 296 ราย, วีซ่า TR 86 ราย และวีซ่าสำหรับนักธุรกิจต่างชาติที่ถือบัตรเอเปก 84 ราย ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดปีนี้คงอยู่ที่ 6.7 ล้านคน จากช่วงต้นปีมีเข้ามาแล้ว 6.69 ล้านคน ฉะนั้นในช่วงสองเดือนที่เหลือ คงไม่ได้มีเข้ามาจำนวนมากนัก
          ด้านสถานการณ์โควิด-19 ในไทย ณ วันที่ 9 พ.ย. ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานว่ายังคงพบผู้ป่วยรายใหม่ 3 คน เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและอยู่ในสถานที่กักกันของรัฐ โดยเป็นผู้เดินทางมาจากประเทศเอธิโอเปีย 2 คน และโอมาน 1 คน ทำให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,840 คน เสียชีวิตสะสมคงที่ 60 คน
          ส่วนความคืบหน้าผลการตรวจเชื้อโควิด-19 ของภรรยา ชายชาวอินเดียที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่ จ.กระบี่ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รักษาการอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ตัวอย่างสารคัดหลั่งของหญิงดังกล่าวเพิ่งมาถึงกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เมื่อเช้าวันที่ 9 พ.ย. คาดว่าน่าจะทราบผลตรวจในวันรุ่งขึ้น ขณะที่ชายชาวอินเดียรายนี้ ผลตรวจพบภูมิคุ้มกันขึ้น แสดงว่ามีการติดเชื้อมานานแล้ว สำหรับหญิงที่เป็นภรรยาคาดว่าไม่น่าจะแตกต่างกัน
          วันเดียวกันในกลุ่มจังหวัดที่ชายชาวอินเดียที่ติดเชื้อโควิด-19 เดินทางไปเที่ยวในช่วง 14 วันที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.เชียงใหม่ มีรายงานว่าบุคคลที่เข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงจำนวน 39 คน ได้แก่ คนขับรถแท็กซี่ พนักงานบริษัทรถเช่า พนักงานร้านอาหาร พนักงานโรงแรม และพนักงานในสนามบินเชียงใหม่ ได้เข้าตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เรียบร้อยแล้ว
          ส่วนที่ห้องประชุมสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย อ.เมือง จ.สุโขทัย นายวิรุฬ พรรณเทวี ผวจ.สุโขทัย พร้อมด้วย ดร.ปองพล วรปาณิ นายแพทย์สาธารณสุข จ.สุโขทัย ร่วมแถลงข่าวชายชาวอินเดียจาก จ.กระบี่ ตรวจพบเชื้อโควิด-19 มีประวัติมาท่องเที่ยวในงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ ที่ จ.สุโขทัย เมื่อวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยนายวิรุฬระบุว่า จากไทม์ไลน์ของชายชาวอินเดียคนนี้ อยู่ในสุโขทัยรวมเวลาประมาณ 21 ชั่วโมง ขณะที่ ดร.ปองพล วรปาณิ นายแพทย์สาธารณสุข จ.สุโขทัย กล่าวว่า จากการสอบสวนโรคและค้นหาผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงในพื้นที่พบผู้สัมผัสทั้งสิ้น 32 ราย เป็นผู้มีความเสี่ยงสูงเป็นเพื่อนกับผู้ป่วย 1 ราย เป็นตำรวจของ สภ.แห่งหนึ่งใน จ.สุโขทัย ได้แจ้งให้กักกันตนเองที่บ้าน 14 วันนับจากวันที่พบผู้ป่วยครั้งสุดท้าย ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 16 พ.ย.นี้ ส่วนกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ จำนวน 31 ราย ให้สังเกตอาการ ปฏิบัติตามมาตรการ Social Distancing อย่างเคร่งครัด ส่วนประชาชนที่ไปเที่ยวงาน ระหว่างวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.2563 หากมีอาการป่วยเกี่ยวกับโรคระบบทางเดินหายใจ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่เพื่อทำการตรวจรักษาทันที
          ที่ จ.กระบี่ นายเอกวิทย์ ภิญโญธรรมโนทัย ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.กระบี่ เปิดเผยถึงผลกระทบหลังพบชายชาวอินเดียในพื้นที่ติดเชื้อโควิด-19 ว่า การพบผู้ติดเชื้อในครั้งนี้ ทำให้เกิดความกังวลกันอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการบนเกาะพีพี และเมืองกระบี่ มีการโทร.สอบถามตลอด โดยเฉพาะบริษัททัวร์และลูกค้าที่จองไว้ เบื้องต้น 2 วันนี้ยังไม่มีการยกเลิก แต่หลังจากนี้อีกประมาณ 1 สัปดาห์ นักท่องเที่ยวอาจมีการเลื่อนการเดินทางออกไป เนื่องจากกังวลในเรื่องนี้ ทั้งที่ก่อนนี้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวปฏิบัติตามมาตรการควบคุมป้องกันอย่างเข้มงวด ไม่ได้การ์ดตก แต่การที่ภาครัฐออกมาระบุถึงผู้ติดเชื้อนั้น ควรตรวจให้ชัดเจนก่อนมีการประกาศ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน เนื่องจากรายล่าสุดผลตรวจออกมาไม่ตรงกัน ตรวจพบบ้างไม่พบบ้าง แต่สุดท้ายแถลงว่าพบเชื้อ ทำให้ประชาชนสับสน
          สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก ผู้ติดเชื้อสะสมทะลุไปกว่า 50.7 ล้านคน เสียชีวิต 1.26 ล้านคน แต่ก็รักษาหายแล้วกว่า 35.7 ล้านคน สหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศ ที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก พบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 100,762 คน ทำให้ทั่วประเทศมีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 10.2 ล้านคน ผู้เสียชีวิตรวมกว่า 243,000 คน โดยตลอด 10 วันที่ผ่านมา สหรัฐฯมีผู้ติดเชื้อราว 1 ล้านราย ถือเป็นอัตราการติดเชื้อสูงสุดนับแต่รายงานพบผู้ติดเชื้อรายแรกที่รัฐวอชิงตันเมื่อ 293 วันก่อน และจากรายงาน 7 วันล่าสุดพบผู้ติดเชื้อเฉลี่ยวันละ 105,600 คน เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 29 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าค่าเฉลี่ยของอินเดียกับฝรั่งเศสรวมกัน ซึ่งเป็นสองประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในเอเชียกับยุโรปตามลำดับ ด้วยอินเดียพบผู้ติดเชื้อ เพิ่มกว่า 46,000 คน รวมเป็นกว่า 8.5 ล้านคน และฝรั่งเศสพบอีกกว่า 38,000 คน รวมเป็นกว่า 1.7 ล้านคน ขณะที่หลายประเทศในยุโรปเริ่มล็อกดาวน์ประเทศและบางพื้นที่รอบใหม่ตลอดเดือนนี้แล้ว อาทิ เยอรมนี อิตาลี เบลเยียม อังกฤษ สาธารณรัฐเช็ก ฯลฯ หวังสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะให้ได้ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดกลับมารุนแรงอีกครั้ง
          ส่วนที่โปรตุเกส นายกรัฐมนตรี แอนโตนิโอ คอสตา ประกาศเคอร์ฟิวเกือบทั่วประเทศเริ่มตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น หลังนับแต่ต้นเดือน ต.ค. การติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นจาก 2,000 รายเป็น 6,000 ราย ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลก็ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพจนถึง 23 พ.ย.นี้
          ต่อมาในช่วงค่ำวันเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศ ต่างรายงานข่าวน่ายินดีเมื่อบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) และไบออนเทค (BioNTech) ซึ่งเป็นผู้คิดค้นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ออกมาประกาศว่าเป็น “วันสำคัญของวงการวิทยาศาสตร์และมนุษยชาติ” หลังมีการนำวัคซีนนี้ไปทดลองกับคน 43,500 คน ใน 6 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ เยอรมนี บราซิล อาร์เจนตินา แอฟริกาใต้ และตุรกี โดยวัคซีนตัวนี้สามารถป้องกันไม่ให้คนติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่พบว่ามีปัญหาในเรื่องปลอดภัยกับผู้เข้าร่วมการทดลอง ทั้งนี้ บริษัททั้งสองแห่งวางแผนจะยื่นเรื่องขออนุมัติเป็นการฉุกเฉินกับองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (เอฟดีเอ) ให้ใช้วัคซีนชนิดนี้ภายในสิ้นเดือนนี้ และบริษัทไฟเซอร์ฯเชื่อว่าจะสามารถผลิตวัคซีนได้ 50 ล้านเข็ม ภายในสิ้นปีนี้ และอีก 1.3 พันล้านเข็ม ภายในปี 2021

 pageview  1205074    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved