สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รายงานข้อมูลการเข้ารับบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2561 ถึง 17 กรกฎาคม 2562 พบว่ามีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยมีสาเหตุจากการได้รับสารเคมีจากยากำจัดศัตรูพืช 3,067 ราย เสียชีวิต 407 ราย เบิกจ่ายค่ารักษากว่า 14.64 ล้านบาท
          แบ่งเป็นยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์แกโนฟอสเฟตและคาร์บาเมต 705 ราย เสียชีวิต 58 ราย ยาฆ่าหญ้าและยาฆ่าเชื้อรา (Herbicides and fungicides) 1,337 ราย เสียชีวิต 336 ราย และสาร เคมีทางการเกษตรประเภทอื่น ๆ 1,025 ราย เสียชีวิต 13 ราย เมื่อ แยกเขตบริการ 13 เขต พบว่า เขตเชียงใหม่มีผู้ป่วยเข้ารับบริการมากที่สุด 506 ราย เขตราชบุรี 390 ราย เขตนครสวรรค์ 340 ราย และนครราชสีมา 338 ราย
          ผู้ป่วยระบบบัตรทองในแต่ละปีมีจำนวนมากที่เข้ารับการรักษาโดยมีสาเหตุจากการได้รับสารเคมีจากยากำจัดศัตรูพืช ปี 2559 มีผู้ป่วย 4,876 ราย เสียชีวิต 606 ราย ปี 2560 มีผู้ป่วย 4,916 ราย เสียชีวิต 579 ราย ปี 2561 มีผู้ป่วย 4,736 ราย เสียชีวิต 601 ราย  หากรวมผู้เสียชีวิตที่มีสาเหตุจากการได้รับสารเคมีจากยากำจัดศัตรูพืชตั้งแต่ปี 2559-2562 มีถึง 2,193 ราย งบประมาณค่ารักษาพยาบาลกว่า 20 ล้านบาทต่อปี ไม่รวมผู้ป่วยในสิทธิรักษาพยาบาลอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นผลกระทบของการใช้สารเคมีปราบศัตรูพืชที่เกิดขึ้น
          ข้อมูลสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมวิชา การเกษตร ปี 2558  ไทยนำเข้าสารกำจัดวัชพืช สารกำจัดแมลง สารป้องกันและกำจัดโรคพืช และอื่นๆ รวม 149,546 ตัน มูลค่า 19,326 ล้านบาท โดยนำเข้าสารกำจัดวัชพืชมากที่สุด 119,971 ตัน แม้ไทยมีกฎหมายควบคุมการใช้สารเคมีโดยงดนำเข้า ขึ้นทะเบียนสารเคมีบางประเภทแล้ว แต่ยังเหลือตกค้างและใช้งานอยู่จำนวนมาก และสารกำจัดศัตรูพืชหลายชนิดมีพิษร้ายแรงต่อสิ่งมีชีวิต นอกจากความสูญเสียจากการเสียโอกาสการทำงานของเกษตรกรที่เข้ารักษาตัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นกำลังหลักของครอบครัว ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนในอนาคต ถึงเวลาแล้วที่เราควรเดินหน้ามาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาพิษจากสารเคมีอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพประชาชน อันมีผลต่อสุขภาวะคนไทยที่ยั่งยืน.